ขนลุก! เบื้องลึก เบื้องหลัง ความเฮี้ยนของ HEREDITARY

ขนลุก! เบื้องลึก เบื้องหลัง ความเฮี้ยนของ HEREDITARY

ขนลุก! เบื้องลึก เบื้องหลัง ความเฮี้ยนของ HEREDITARY
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวในหนังบางส่วน ควรชมภาพยนตร์ก่อนเปิดอ่าน

HEREDITARY น่าจะจัดเป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญที่บรรดาผู้ชมหลายคนรักและหลายคนอาจจะเกิดอาการเกลียด อาจจะเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มีวิธีการเร้าอารมณ์ที่ แตกต่าง ไปจากหนังสยองขวัญแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือการใส่สไตล์ของตัวผู้กำกับเองเข้ามา ดังนั้นไม่ว่าคุณดูหนังเรื่องนี้แล้วจะอยู่ในความรู้สึกใดก็ตาม แต่หนังเรื่องนี้ก็มีอะไรเฮี้ยนๆ ที่น่ารู้เหมือนกัน

เมื่อผู้กำกับหยิบเอาชีวิตตัวเองมาดัดแปลงเป็นหนัง

ว่ากันว่าหนังทุกเรื่อง ผู้กำกับ มักใส่ชีวิตและความเป็นตัวเองเข้าไปในหนังอยู่เสมอ แต่จะน่ากลัวกว่าแค่ไหนเมื่อผู้กำกับของ HEREDITARY อย่างอารี แอสเตอร์ หยิบเอาแรงบันดาลใจจากหนังเกี่ยวกับเรื่องของพิธีกรรม ไสยศาสตร์ และเรื่องเศร้าของคนในครอบครัวเอามาผสมผสานกัน จนก่อให้เกิดพล็อตเรื่องปีศาจร้ายที่พยายามจะยึดครองครอบครัวนี้ทั้งสายเลือด แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือหนังเรื่องนี้ยังได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ตรงของครอบครัวผู้กำกับเอง ที่มักจะต้องประสบพบเจอกับเรื่องเศร้า การปล่อยวาง ทำใจ และเหมือนกับว่า โชคร้าย จะถาโถมเข้ามาใส่ครอบครัวของเขาราวกับคำสาป

 

บ้านตุ๊กตา โมเดลจำลอง ความหมายเชิงนัยยะ

 ฉากเปิดเรื่องของหนังซึ่งเป็นภาพที่กล้องกำลังโคลสอัพเข้าไปหาหน้าต่างบ้านก่อนที่จะทะลุผ่านกระจกและซูมเข้าไปยังบ้านโมเดลจำลอง เข้าสู่เตียงนอนของห้องลูกชายก่อนที่จะตัดสลับกลับมาที่เหตุการณ์จริง เมื่อเราพิจารณาหนังทั้งเรื่องแล้ว เราจะพบว่าแก่นสารที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้กำลังพูดถึง คนที่ไม่สามารถควบคุมอะไรในชีวิตของตัวเองได้ เช่นเดียวกับครอบครัวของแกรแฮมที่ไม่มีอะไรต่างจากตุ๊กตาจำลองในบ้านตุ๊กตาที่โดนพลังอื่นควบคุมชีวิตของตนเอง

 

ดราม่า + หนังครอบครัว + หนังสยองขวัญ

ตัวผู้กำกับแอรี แอสเตอร์หยิบวิธีการเล่าเรื่องมาจากหนังดราม่าครอบครัวชื่อดังไม่ว่าจะเป็น Ordinary People, The Ice Storm และ In the Bedroom ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวที่มีคนหลายรุ่นอยู่ร่วมกัน และต้องอดทนเพื่อจะก้าวผ่านความตาย, ความป่วยทางจิต และความรุนแรงทางอารมณ์ แต่เมื่อเขาเลือกจะเล่าในแบบหนังสยองขวัญเหนือธรรมชาติแล้ว แอรี จึงหยิบเอาสไตล์ของหนังระทึกขวัญในยุค 60s และ 70s อย่าง เรื่อง Rosemary’s Baby, Don’t Look Now และ The Innocents ซึ่งมีตัวละครหลักเป็นตัวเดินเรื่อง มาผสมผสานเข้าไป

 

เหตุการณ์สยองขวัญที่มาตอนเรื่องราวคลี่คลาย

 เชื่อว่าหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดอาการหงุดหงิด ปัจจัยหนึ่งก็เพราะการเดินเรื่องราวอันแสบเนิบช้าและชวนงงในช่วงแรก ซึ่งจุดนี้เป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่เล่าเรื่องของครอบครัวที่โดนสาป และต้องเจอกับเหตุการณ์สยองขวัญที่เมื่อเรื่องราวเริ่มคลี่คลาย เราจะต้องสะพรึงมากกว่าเดิมเพราะมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการสุดสยองที่เราจะได้รับชมและร่วมเป็นพยานกับเหตุการณ์ดังกล่าว ชื่อเรื่องจะเริ่มโดนเฉลยที่มา เมื่อภาพยนตร์ดำเนินไป เรื่องราวของการสืบเชื้อสาย และสายเลือด กลายเป็นเรื่องระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสายเลือดและสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในนั้น อันเป็นจุดสำคัญของความระทึกขวัญน่าหวาดกลัว การไร้ทางเลือก ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไม่มีอะไรน่าโมโหและน่ากลัวไปกว่า การที่คุณรู้ตัวว่าคุณไม่มีทางสู้สิ่งนั้นได้อีกแล้ว!

ความน่ากลัวที่คนดูไม่อาจจะหลบหนี

หนังสยองขวัญหลายเรื่องสร้าง “พื้นที่หายใจ” ให้คนดูได้พักเหนื่อยเป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่แบบนั้นสำหรับ HEREDITARY ที่ผู้ชมจะสัมผัสได้และเข้าถึงความพ่ายแพ้ของครอบครัวแกรแฮม หนังเรื่องนี้กำลังสำรวจเรื่องความเป็น “อิสระของมนุษย์” เมื่อชีวิตของพวกเขาถูกวางแผนและตีกรอบเอาไว้แล้วจากสิ่งที่อยู่ในสายเลือดและการสืบรุ่นที่ชั่วร้าย การที่คนในครอบครัวนี้ไม่สามารถควบคุมอะไรในชีวิตได้อีกจึงทำให้ผู้ชมเห็นฉากจบอันแสนน่าสิ้นหวัง และไม่อาจจะดิ้นรนอะไรต่อไปได้อีก หนังเรื่องนี้จึงเป็นความน่ากลัวในระดับบุคคล อีกทั้งผู้ชมยังถูกบังคับให้รู้สึกร่วมไปกับชะตากรรมอันแสนน่าเศร้าดังกล่าวไปด้วยในฐานะ “ผู้สังเกตการณ์”

ครึ่งแรก ครึ่งหลัง หนังคนละม้วน

ความพิเศษและโดดเด่นแบบไม่มีใครเหมือนของ HEREDITARY นั้นเริ่มจากการเป็นหนังดราม่าครอบครัว หนังสยองขวัญ แต่เมื่อหนังก้าวผ่านจุดพลิกผันของเรื่องที่จู่โจมคนดูแบบไม่ทันตั้งตัว หนังก็ได้ก้าวเข้าสู่มิติของหนังผี เริ่มในจุดที่แอนนี่ได้เข้าไปสนิทกับตัวละครเพื่อนบ้านอย่างโจน แม่บ้านที่กำลังเสียใจจากการจากไปของคนในครอบครัว ซึ่งโจนทำให้แอนนี่ได้รู้จักพิธีกรรมการติดต่อกับวิญญาณจนนำไปสู่เหตุการณ์ทวีความน่าขนลุกขึ้น

การออกแบบทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ความธรรมชาติและความไม่จงใจคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้สร้างความน่ากลัวให้กับผู้ชมในแบบที่คาดเดาไม่ได้ จริงอยู่ที่หนังเรื่องนี้อาจจะจัดหมวดหมู่อยู่ในกลุ่มบ้านผีสิง ผู้กำกับอย่างอารีก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงในสิ่งที่คนดูคาดเดาได้ไม่ว่าจะเป็น พื้นไม้เสียงดัง ผนังเก่าๆที่ชอบลั่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กระทั่งสไตล์บ้านแสงสลัวในแบบกอธิค แต่ใน HEREDITARY ทุกอย่างเป็นความโมเดิร์นที่ถูกออกแบบไว้แล้ว

ทีมงานในเรื่องจึงก่อสร้างบ้านของครอบครัวเกรแฮมขึ้นในสตูดิโอ ตั้งแต่ห้องโถง จนถึงบ้านต้นไม้ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในตอนไคลแม็กซ์ของเรื่อง แม้ว่าการถ่ายทำในสตูดิโอจะลำบาก แต่หลายครั้งมันก็เอื้อประโยชน์ในการเล่าเรื่องดังเช่นที่คนดูจะได้เห็นมุมกล้องแปลกๆ ที่ถ่ายในระยะที่ไกลเกินกว่ามุมกล้องจริงที่จะตั้งไว้ได้ ซึ่งให้มุมมองภาพที่แปลกตา ผิดธรรมชาติ และสร้างความรู้สึกผิดปกติให้กับผู้ชมอย่างสัมฤทธิ์ผล

ถึงบรรทัดนี้แล้ว เมื่อเราพยายามทำความเข้าใจกับ “จุดประสงค์” ในการทำหนังที่ผ่านการ “คิด” เยอะๆ เราจะพบว่าหนังสยองขวัญบางเรื่องก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจะสร้างความตกใจตุ้งแช่ให้กับผู้ชมแค่เพียงอย่างเดียว แต่มันสร้างขึ้นมาเพื่อเล่าเหตุการณ์บางอย่างผ่านมุมมอง วิธีคิดและชักชวนผู้ชมตีความร่วมไปกับหนังด้วยนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook