รีวิว ดอกฟ้าหมาแจ๊ส

รีวิว ดอกฟ้าหมาแจ๊ส

รีวิว ดอกฟ้าหมาแจ๊ส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อฝีมือไม่ตอบโจทย์ความดัง หมา (ผดุง ทรงแสง) เลยตัดสินใจทำศัลยกรรมกับ ขจร (กฤษณ์ บุญญะรัง) กะเทยเพื่อนรักสมัยเด็กแต่เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นดังคาด ขจรจึงจัดฉากให้หมากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในโลกโซเชียล เพื่อหวังให้ได้ใจชายที่เขาหลงรักแต่ในใจของหมามีแค่ เฟื่องฟ้า (สุธีวัน ทวีสิน) สาวที่หมาหลงรักมานาน โชคร้ายที่เธอต้องตายจากอุบัติเหตุรถชนทำให้หมาได้แค่เดินทางไปงานศพของเธอที่บ้านเกิด แต่พอถึงท่าเรือ ลุงโมก (ไพฑูรย์ พุ่มรัตน์) กลับบอกว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะย้อนอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดและช่วยชีวิตเฟื่องฟ้าได้ แต่ห้ามทำมิติเวลายุ่งเหยิงด้วยการพูดคุยกับใคร แล้วสุดท้ายเขาจะทำสำเร็จหรือไม่

บทล้ำๆ ที่ทำไม่ถึง 

        ยอมรับเลยว่าตอนเห็นเรื่องย่อและตัวอย่างภาพยนตร์ของดอกฟ้าหมาแจ๊สทำให้ผมคาดหวังกับการกลับมาของ ยุทธเลิศครั้งนี้มากมายทีเดียว ซึ่งส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างประทับใจและอยากเห็นยุทธเลิศลองกลับมาทำหนังอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จันทร์ อีก ดังนั้นรูปลักษณ์ของ ดอกฟ้าหมาแจ๊ส เลยถูกผลิตจากแนวคิดที่ใกล้เคียงกันทั้งการเล่าถึงความผิดพลาดในอดีต

การนำตลกมารับบทดราม่า เสื้อผ้าและองค์ประกอบศิลป์แบบหลุดโลก กระทั่งการเดินทางด้วยเรือเพื่อกลับไปแก้ไขเรื่องราวที่ผิดพลาดโดยเปรียบสายน้ำเหมือนวัฏสงสารคล้ายคลึงกัน รวมไปถึงเพลงดังยุค 90 ของอาร์เอสโปรโมชั่นทั้ง ตะลึง ของ อนันต์ อันวา, เกรงใจ ของ แร็พเตอร์ หรือ ไม่อาจเปลี่ยนใจ ของ เจมส์ เรืองศักดิ์ แต่ผลลัพธ์กลับได้หนังที่พยายามพูดเรื่องซับซ้อน แต่อธิบายไม่เป็นแถมยังสับสนในตัวเองว่าจะเป็นหนังตลกที่จิกกัดการเมือง สังคมโซเชียล หรือจะเป็นหนังไซไฟย้อนเวลา

มิหนำซ้ำตัวหนังยังถูกบอกเล่าอย่างอืดอาด กว่าจะเข้าประเด็นนี่หายใจทิ้งไปเป็นถังและยิ่งผิดหวังเมื่อท้ายที่สุด เมื่อแต่ละฉากแทบหาความสำคัญของมันไม่เจอ เลยพลอยทำให้ความตลกของมันลดน้อยจนกลายเป็นความน่ารำคาญแทน มิหนำซ้ำเพลงดังที่หนังเอามาใช้ก็ไม่ได้มีผลหรือสอดคล้องกับเรื่องราวแต่อย่างใด

ไม่รู้ความผิดใครที่หนังได้แค่นี้ 

   เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับตัวหนังก่อนอื่นต้องบอกว่าดอกฟ้าหมาแจ๊สฉบับที่ฉายโรงนี้ ถูกตัดต่อในความยาว 86 นาที จากข้อมูลที่ได้รับมาคือหนังต้นฉบับมีความยาวร่วม 2 ชั่วโมง เลยพอทำให้เห็นถึงแนวคิดหลายอย่างที่หนังพยายามพูดถึงแต่เหมือนถูกตัดให้ข้ามๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับเผด็จการทหารที่ท้ายที่สุด ก็เหลือแค่ชุดกับอุปกรณ์ตกแต่งฉากที่ไม่ได้สื่อให้เห็นถึงการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองแต่อย่างใด

มิหนำซ้ำพอหนังพยายามยัดเยียดการวิพากษ์วงการบันเทิงเข้ามาด้วยเลยทำให้ตัวหนังดูมั่วซั่วจนจับประเด็นหลักไม่ถูก แต่กระนั้นเมื่อเราต้องตัดสินจากผลงานสุดท้ายที่ออกมาก็ต้องยอมรับ ว่านอกจากเนื้อความที่ถูกตัดออกไปแล้ว แผลใหญ่ที่สุดของหนังก็หนีไม่พ้นการพยายามจับหลายประเด็น โดยเฉพาะการวิพากษ์การทำศัลยกรรมที่ดูจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมาทำศัลยกรรมผิดพลาด แล้วถูกขจรหลอกว่าตนเป็นคนดังด้วยการซื้อ Like และ Follow ให้ แล้วหมาได้รับบทเรียนตรงไหน เพราะยังไม่ทันไรหลังขจรถูกหมาหักอกเขาก็ต้องเดินทางไปที่เกาะเพื่อร่วมงานศพ จนประเด็นวิพากษ์การทำศัลยกรรมและความดังในโลกโซเชียลที่หนังพยายามปูพื้นตั้งแต่เปิดเรื่องถูกทิ้งไปดื้อๆ

ไม่เพียงเท่านั้นแนวคิดเรื่องกรรมที่ยุทธเลิศเน้นย้ำในผลงานเขาซ้ำๆ ซากๆ เรื่องนี้ก็ยิ่งเลอะเทอะ เพราะพอหนังมาแนวเหนือจริงด้วยเรื่องการย้อนเวลา แต่ไม่มีฉากใดที่อธิบายความสัมพันธ์ตัวละครมากพอ ก็ยิ่งทำให้คนดูถูกทิ้งไว้กับความงงงวยว่าตัวละครทำกรรมอะไรไว้ เคยมีความขัดแย้งอะไรกันมาเพราะอยู่ดีๆ เราก็เห็น ขจร แปลงเพศให้หน้าเหมือนเฟื่องฟ้า เพื่อมาฆ่าเฟื่องฟ้าอีกทีทั้งที่เป็นเพื่อนรักกันมานาน หรืออยู่ดีๆ ขจรก็แย่งเฟื่องฟ้าไปจากหมาแบบไม่มีสาเหตุ จนหนังออกมางงงวยเกินเยียวยาจริงๆ

หรือท้ายที่สุดคือหนังแย่เพราะสุกเอาเผากิน

ก่อนจะต่อว่าหนังมากกว่านี้ เรื่องเดียวที่พอชมได้คือสายตาแบบเด็กเรียนศิลปะที่ยุทธเลิศดูจะช่ำชองในการถ่ายทอดวางเฟรมภาพได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายให้เห็นสถาปัตยกรรมต่างๆ

แต่นอกจากนั้น (เอาแล้วไง) สิ่งที่คนดูจะได้พบคือภาพของหนังบางช็อตที่ต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะซีนในร้านกาแฟก่อนฟ้าถูกรถชนกับซีนภายนอกที่แสงออกมาไม่เท่ากัน จนชวนสงสัยว่าหนังละเอียดกับขั้นตอนการแก้สีมากเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่างานเสียงที่เข้าขั้นหายนะ เพราะนอกจากฉากร้องเพลงที่เสียงไม่ตรงกับปากแบบเห็นได้ชัดแล้ว เสียงพูดหลายช่วงยังมีปัญหาเหมือนไปอัดเสียงกันในตุ่มน้ำ ฟังแล้วอู้อี้จนน่ารำคาญมาก ซึ่งการทำหนังโดยไม่มีความประณีตละเอียดลออ ไม่เพียงส่งผลร้ายต่อตัวหนังเองเท่านั้น เพราะคนดูหนังไทยเองก็หมดศรัทธาจากปัญหาด้านเทคนิคแบบนี้ ทั้งที่สามารถแก้ไขในขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่นให้ออกมาสมบูรณ์ก่อนฉายได้

สรุปแล้วถือว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่งสำหรับการกลับมาของ ยุทธเลิศ กับหนังพล็อตแปลกแหวกแนวของเขา ด้วยเนื้อเรื่องที่ชวนงงงวย มุกตลกฝืดและปัญหาเทคนิคอันน่ารำคาญดังที่กล่าวมา

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook