Tears of the Sun คือหนังที่เดิมทีเป็นบทของ Die hard 4 ที่ถูกคัดทิ้ง โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส

 Tears of the Sun

เส้นทางของ Tears of the Sun

• Bruce Willis มีบริษัทสร้างหนังของตัวเองคือ Cheyenne Enterprises ราวๆ ปี 2002 มีการพัฒนาบทหนัง Die hard 4 ซึ่งยึดโครงเรื่องมาจากหนังเรื่องหนึ่ง แล้วพบว่ามันไม่เหมาะที่จะดัดแปลงเป็น Die hard ภาค 4 เพราะไม่มีอะไรเป็น Die hard เลย มีแต่คราวซวยที่เข้าข่ายคอนเซ็ปต์ Die Hard

• บทหนังที่ว่าถูกเขียนขึ้นโดย Alan B. McElroy ผู้เขียนบท Ballistic: Ecks vs. Sever และ Spawn บทหนังเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่เข้าป่าอเมซอนไปเพื่อติดตั้งสถานีวิทยุ แต่ดันต้องเผชิญหน้ากับแก๊งค้ายาเสพติด แล้วเกิดการปะทะกันขึ้น

• บทหนังของ Die hard 4 ของ Alan B. McElroy ถูกคัดทิ้ง เพราะยิ่งพัฒนายิ่งห่างไกลความเป็น Die hard แต่ Bruce Willis ขอบทเรื่องนี้ไว้ เพื่อที่จะเอาไปแต่งเติมขยายให้เป็นบทหนังที่ดีขึ้น แล้วจะสร้างเอง โดยสัญญากับ 20th Century Studios ว่าจะสร้าง Die hard 4 ให้ด้วยบทหนังที่ลงตัวกว่านี้ บทหนังของ Alan B. McElroy เรื่องที่ว่านั้นคือหนังสุดมันส์อย่าง Tears of the Sun

 Tears of the Sun

• Tears of the Sun สร้างและฉายในปี 2003 หนังลงทุนไปกว่า 100 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ไปเพียง 86.5 ล้านเหรียญ ว่ากันว่าที่หนังไม่ประสบความสำเร็จเพราะสร้างทีหลังหนังสงครามอย่าง Black Hawk Down (2001) และ Saving Private Ryan (1998) ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว Tears of the Sun ดูเหมือนจะเป็นหนังสงครามที่ล้าสมัยไปแล้ว

• Bruce Willis สร้าง Die hard 4 ภายใต้สตูดิโอ Cheyenne Enterprises ของเขาเอง Len Wiseman แห่งหนัง UnderWorld ได้รับมอบหมายให้กำกับภาคนี้ในที่สุด

• Die hard 4 ดัดแปลงจากบทหนังเรื่องหนึ่งชื่อว่า WW3 .com อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสงครามคอมพิวเตอร์ บทเรื่องนี้เกือบๆจะถูกสร้างเป็นหนัง แต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 เสียก่อน บทหนังจึงถูกเก็บเข้าลิ้นชักยาวๆ

 Die Hard 4.0

• ผู้กำกับ Len Wiseman ชื่นชอบหนัง Die hard มาตั้งแต่เด็ก ตอนได้ดูครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี เขาใช้กล้องวีดิโอถ่ายหนัง Die hard ฉบับตัวเองที่หลังบ้าน แม้จะออกมาดูง่อยๆแต่เขาก็ภูมิใจ 20 ปีต่อมาเขาก็ได้กำกับ Die hard จริงๆ

• บทหนังภาคนี้ที่ดัดแปลงจากบท WW3 .com เองก็แทบไม่มีความเป็นหนัง Die hard เลย มันไม่ใช่หนังคริสต์มาส แล้วก็ไม่ใช่หนังสถานการณ์คราวซวยคับขันอีกแล้ว แต่เป็นงานแอ็คชั่นเต็มสูบที่พูดถึง หมาแก่โลว์เทคโนโลยีอย่าง John McClane ที่ต้องเจอกับวายร้ายที่ไฮเทคที่สุดในโลก จะเอาอะไรไปสู้กันล่ะนี่

• หนังไม่ใช่เรต R แบบภาคก่อนๆ มันถูกตัดเป็นสองเวอร์ชั่น คือเรต R และ PG-13 สตูดิโอเลือกใช้เวอร์ชั่น PG-13 ในการฉาย นั่นทำให้ Bruce Willis หัวเสียมาก แต่เมื่อหนังเสร็จออกมา Bruce Willis ยอมรับเลยว่านี่คือหนัง Die hard ที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่ก็ยังชื่นชอบหนังเวอร์ชั่นเรต R มากกว่า

 

• Larry Rippenkroeger เป็นสตั๊นท์ดับเบิลแสดงแทน Bruce Willis มาตั้งแต่หนัง The Whole Ten Yards เพราะทรงเขาดูคล้าย Bruce Willis มาก เขาผูกปิ่นโตเล่นแทนมาตลอดในหนังแทบทุกเรื่อง แต่จากการแสดงฉากเสี่ยงตายใน Die hard 4.0 เขาตกจากที่สูง 25 ฟุต ทำให้มือหัก และบาดเจ็บที่ใบหน้า Bruce Willis อำนวยความสะดวกให้พ่อแม่ของเขามาพักโรงแรมเดียวกันเพื่อที่จะได้ไปเยี่ยมเขาด้วยกัน Bruce Willis ไปเยี่ยมเขาเสมอๆจนหายดี และเรียกใช้งานเขาทุกครั้งที่เล่นหนังแอ็คชั่น

• เดิมที Die hard 4.0 จะได้นักแสดงชาวไทยอย่าง Tony Jaa หรือ จา พนม ไปเล่นบทวายร้ายประจำเรื่องที่เป็นมือขวาของวายร้ายหลักที่รับบทโดย Timothy Olyphant สุดท้ายการเจรจาไม่ลงตัว บทจึงถูกเปลี่ยนเป็นผู้หญิง แล้วได้ Maggie Q มาแสดง

• Kevin Smith ดาราตลกและมือเขียนบท ได้รับว่าจ้างให้เติมสคริปต์ในส่วนของอารมณ์ขัน แต่ Bruce Willis คิดว่าสิ่งที่เขาเติมลงไปในบทมันออกอ่าวออกทะเลจนเกินไป Bruce Willis เลือกใช้แค่นิดหน่อย จึงเกิดความไม่พอใจกันขึ้น สุดท้ายเมื่อเครดิตขึ้นบนจอ ชื่อของ Kevin Smith ก็ตกหล่นอักษรไปหนึ่งตัว แทนที่จะเป็น Kevin Smith แต่ตกตัว M. ไปกลายเป็น Kevin Sith เมื่อ Kevin Smith เห็นดังนั้นแทนที่จะโกรธ เขากลับรู้สึกดีมาก เพราะเขาบอก Bruce Willis เสมอๆว่าเขาคลั่งไคล้ Star wars มาก และ Sith ก็คือความจงใจและใส่ใจรายละเอียดของ Bruce Willis ที่สั่งทีมงานให้เขียนชื่อเขาแบบนั้นเพื่อเป็นของขวัญแด่ Kevin Smith

 Die Hard 4.0

• Live Free or Die Hard คือชื่อภาคแบบเต็มๆอ้างอิงมาจากคำขวัญประจำรัฐนิวแฮมป์เชียร์ มันคือการปลดล็อคจากขนบเดิมๆซ้ำซาก เป็นภาคที่ทำเงินเยอะที่สุด แต่ก็โดนสับเละเหมือนกัน ซึ่งสำหรับ Bruce Willis นี่คือภาคที่เขาภาคภูมิใจที่สุด เพราะเขาเป็นคนสร้างและกำหนดทิศทางเอง

• สำหรับ Die hard 5 นั้นคือหนังเพียงภาคเดียวที่เขียนบทขึ้นเพื่อจงใจให้เป็น Die hard ตั้งแต่แรก ส่วนภาคก่อนๆคือการดัดแปลงบททั้งหมด Die Hard (1988) ภาคแรก สร้างจากนวนิยายของ Roderick Thorp / Die Hard 2 (1990) ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง '58 Minutes' ของ Walter Wager / Die Hard with a Vengeance (1995) ภาค 3 นำแนวคิดพื้นฐานมาจากบทภาพยนตร์ของ Jonathan Hensleigh เรื่อง Simon Says และภาค 4.0 หรือ Live Free or Die Hard (2007) ได้รับการดัดแปลงจากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมที่ชื่อว่า WW3 .com

Die Hard 4.0

• หนัง Live Free or Die Hard 4.0 ลงทุนไปกว่า 110 ล้านเหรียญ และทำเงินทั้งสิ้นทั่วโลก 388.2 ล้านเหรียญ คำวิจารณ์แตกเป็นสองฝั่ง มีทั้งชอบและไม่ชอบปนกันไป