4 เจ้าสัวรุ่นลูกเปิดคัมภีร์สานธุรกิจ ผ่าทางตันใช้มืออาชีพช่วยบริหาร

4 เจ้าสัวรุ่นลูกเปิดคัมภีร์สานธุรกิจ ผ่าทางตันใช้มืออาชีพช่วยบริหาร

4 เจ้าสัวรุ่นลูกเปิดคัมภีร์สานธุรกิจ ผ่าทางตันใช้มืออาชีพช่วยบริหาร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปิดวงสัมมนา "สู่อนาคตมังกรธุรกิจรุ่นใหม่ ทั้ง ไทยเบฟ เซ็นทรัลรีเทล ซีพีและบางกอกแอร์ ยอมรับถึงเวลาต้องใช้มืออาชีพเข้าบริหารจัดการธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ เทียบชั้นองค์กรระดับโลกอย่างลอริอัล ไฮเนเก้น

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคากรุงเทพ ได้จัดสัมมนาเรื่อง "สู่อนาคตมังกรธุรกิจรุ่นใหม่" โดยได้เชิญผู้สืบทอดธุรกิจขนาดใหญ่ประกอบด้วยนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และนายศุภชัย เจียวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาเป็นองค์ปาถกถ่ายทอดประสบการณ์

โดยนายชาติสิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มที่ทุกคนเห็นในทางเดียวกันคือ ต้องมีนักบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการธุรกิจ

นายพุฒิพงศ์กล่าว ว่า ธุรกิจของบางกอกแอร์เวย์สมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเจนเนอเรชั่น 1 ที่ทำธุรกิจด้านการแพทย์ ปรับเปลี่ยนไปสู่สายการบินและในขณะนี้ได้มีการยื่นแบบแสดงข้อมูลเพื่อนำ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว คาดว่าจะมีการซื้อขายได้ในราวเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะนำเงินที่ได้มาซื้อฝูงบินเพิ่มเติม เพราะธุรกิจการบินเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักทั้งจีน อินเดีย เข้ามาเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับการท่องเที่ยวในประเทศ โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่เป็นคนไทยเพิ่มจากเดิม 10% เป็น 25%

นายทศกล่าวว่า แนวทางการขยายธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลจากนี้ไปจะผลักดันให้ธุรกิจมีการขยาย ตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15% ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่าย มีระบบการบริหารจัดการลงทุนที่ดี ไม่มือเติบ จะลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือให้มีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารในองค์กร ลักษณะเดียวกับองค์กรชั้นนำในยุโรป เช่น ลอริอัล บีเอ็มดับเบิลยู และเบียร์ไฮเนเก้น ซึ่งเป็นลักษณะธุรกิจครอบครัวแต่ใช้มืออาชีพเข้ามาบริหาร

นายฐาปนกล่าวว่า ธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟเติบโตมาจากธุรกิจสุรา ซึ่งถือเป็นธุรกิจแรกเริ่ม และมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2532 ที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงเพราะได้เปิดกว้างเรื่องการค้า วางตัวเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (นิกส์) จึงเห็นโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกิจสุรา ซึ่งเป็นระบบสัมปทาน และจุดเปลี่ยนได้มีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ มีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้บริหารก็ได้ให้ความสำคัญในการสร้าง บริษัทให้เติบโต มีกำไรและปัจจุบันก็ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น และมองเรื่องการเชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคเข้าด้วยกัน

นายศุภชัยกล่าวว่า ธุรกิจของกลุ่มซีพีมีจุดกำเนิดมาจากเมล็ดพันธุ์และขยายไปสู่ธุรกิจเลี้ยง สัตว์ โทรคมนาคม และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะให้ความสำคัญขยายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้น โดยอยู่บนหลักการจะต้องสามารถยืนหยัดและสามารถเลี้ยงดูตัวเอง และทำประโยชน์ให้กับประเทศที่เข้าไปลงทุน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook