พระของพ่อ พ่อของพระ ณ ไร่เชิญตะวัน

พระของพ่อ พ่อของพระ ณ ไร่เชิญตะวัน

พระของพ่อ พ่อของพระ ณ ไร่เชิญตะวัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

       ม่วนอ้ก ม่วนใจ๋ กับ “พระของพ่อ”และ “พ่อของพระ” ณ ไร่เชิญตะวัน Secret of Life ฉบับนี้ เราจะพาคุณเดินทางไปยังไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย เพื่อพบกับแขกคนพิเศษสองท่าน นั่นคือ ท่านว.วชิรเมธีและพ่ออุ้ยหรือโยมพ่อทิพย์ บุญถึง วัย 84 ปี
 
       การสัมภาษณ์ครั้งนี้เราได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ให้ได้พูดคุยกับทั้งสองท่านอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองสุดๆ รับรองว่าท่านว.วชิรเมธีที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ทุกเรื่องยังไม่เคยมีการเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน


       เนื่องจากพ่ออุ้ยอู้แต่คำเมืองเท่านั้น บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้จึงเป็นแบบลูกผสมไทย-ล้านนา อย่างไรก็ดี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้รับความรื่นรมย์ และสัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น ผสมกับความเบิกบานใจ สมดังที่พ่ออุ้ยและท่านว.วชิรเมธีตั้งใจมอบให้กับผู้อ่าน Secret โดยเฉพาะ เพื่อเป็นของขวัญวันพ่อในปีนี้

ทุกวันนี้พ่ออุ้ยห่วงอะไรท่านว.บ้างคะ

ท่านว. “ป้อ ตี้ตุ๊ใหญ่มาอย่างทุกวันนี้ มีอะหยังตี้ป้อห่วงตุ๊”

พ่ออุ้ย
“ห่วงตี้ซุดเลย” (จากนั้นพ่ออุ้ยก็ค่อยๆรำลึกความหลังแล้วพูดออกมาเป็นภาษาล้านนายาวเหยียด)

ท่านว.
  พ่ออยากมาอยู่ใกล้ๆพระอาจารย์ ท่านเป็นห่วง เพราะมีคนมาหาเราเยอะ ท่านอยากให้เราอยู่ใกล้หูใกล้ตา สิ่งที่พ่อห่วงอีกอย่างคือเรื่องเงินทอง เพราะเป็นของอันตรายสำหรับชีวิตนักบวช พ่อเป็นคนเห็นคุณค่าของเงินมาก เพราะตอนหนุ่มๆพ่อลำบาก ต้องเอายาเส้นไปขายที่เชียงแสน แม่สาย เพื่อเลี้ยงลูกหกคน

บางทีก็หาปูหาปลา หาของป่า รับจ้างขึ้นต้นหมาก พระอาจารย์จำได้ว่า เคยยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นหมาก เพราะพ่อไม่ยอมลงมา พ่อจะกระโดดจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง เป็นยี่สิบต้น โดดอยู่ครึ่งวันไม่ลงเลย และนั่นแหละคือค่าเทอมของพระอาจารย์ บางทีพ่อก็ไปรับจ้างตัดหญ้าที่โรงบ่มใบยา ต้องนั่งเรือข้ามโขงไปเช้าเย็นกลับ เพื่อขายแรงงานที่ประเทศลาว บางทีก็ไปรับจ้าง “ไพคา” คือเอาหญ้าคามาเย็บกันเป็นตับสำหรับใช้มุงหลังคาในไร่ในสวน ได้ค่าแรงร้อยละ 6 บาท...

....เรื่องพวกนี้พระอาจารย์ก็เพิ่งได้ฟังพร้อมๆกับโยมนะเนี่ย เป็นเรื่องเก่ามาก

แล้วคุณพ่อได้สอนวิชาทำมาหากินให้ลูกคนไหนบ้างคะ

ท่านว.พี่ชายได้วิชาไปเต็มๆ ส่วนพระอาจารย์พ่อให้เรียนหนังสืออย่างเดียว ครั้งหนึ่งพ่อเคยต้อนพระอาจารย์ไปเข้าโรงเรียนแต่เราไม่ยอมไป วิ่งหนีไปตามเรือกตามสวนอยู่ครึ่งวัน จนไปหลบอยู่ใต้ถุนบ้าน พ่อต้องก้มหัวลงมาถามว่า “อยากง่าวเหมือนพ่อก๋า” หมายความว่า “อยากโง่เหมือนพ่อเหรอ” คำนี้คำเดียว ทำให้พระอาจารย์เดินออกมาแล้วยอมไปโรงเรียน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพระอาจารย์ถึงต้องเรียนขนาดนี้

นักธรรมมีถึงเอกก็เรียนจนจบเอก เปรียญธรรมมีถึงเก้าก็เรียนจนจบเก้า พูดง่ายๆว่ามีอะไรให้เรียน ฉันเรียนหมด เพราะรุ่นพ่อรุ่นแม่เราไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงๆ เราจึงเรียนแทนท่าน ปริญญาตรีให้พ่อ เปรียญธรรมเก้าประโยคให้แม่ ปริญญาโทให้พี่สาวทุกคน ตอนนี้ได้ดุษฎีบัณฑิตมาอีกสี่ใบก็แจกกันไป (หัวเราะ)

อยากทราบเคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีค่ะ คุณพ่อมีวิธีอย่างไรคะ

ท่านว. “ป้อ เอาอะหยังมาสอน ลูกหกคนถึงได้ดิบได้ดีหมด” (พ่อเอาอะไรมาสอนลูก ลูกหกคนถึงได้ดีหมด)

พอท่าน ว. ถามจบพ่ออุ้ยก็ตอบเป็นภาษาล้านนาด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข... พ่อบอกว่า โตแล้วต้องไปโรงเรียน พ่อจะสอนพวกเราตอนล้อมวงกินข้าวด้วยกัน ท่านจะไม่เคยตี ไม่เคยใช้ความรุนแรง แต่จะสอนด้วยการดุว่ากลางวงข้าว ถ้าคนไหนทำอะไรที่ไม่ดีมา พ่อจะซัดพร้อมกันหมดเลยหกคนพี่น้อง บ่อยครั้งที่พวกเราพี่น้องต้องกินข้าวกับน้ำตา พ่อกับแม่จะเทศน์นอกธรรมาสน์เสมอ เรียกว่าพออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว องค์จะลงประทับ เป็นผลให้เราหกคนพี่น้องไม่เคยริษยาหรือทะเลาะกันเลย
         
นอกจากนี้ พ่อจะมีนิทานที่ท่านแต่งเองเอาไว้สอนพวกเราให้รักกัน และท่านเล่าเรื่องเดียวกันนี้ทุกครั้ง แล้วก็สรุปว่า ร้อยพ่อเลี้ยงก็ไม่เท่าพ่อจริง ร้อยแม่เลี้ยงก็ไม่เท่าแม่จริง .... “ให้ฮักป้อฮักแม่เน้อ....”

ท่านว.
หันไปมองพ่ออุ้ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพรักแล้วพูดเสริมว่า

เวลาเล่าเรื่องความหลัง ท่านจะมีความสุขมาก ดูตาท่านสิ เป็นประกายเลย ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะตอนนี้พ่ออุ้ยดูเหมือนจะ “จุดติด” แล้ว แถมตอนนี้ยังนึกสนุกถาม”ปริศนาอะไรเอ่ย” กับท่าน ว. และพวกเรา ซึ่งท่านว.บอกว่านี่คือวิธีสอนลูกของโยมพ่อ นั่นคือสอนด้วยปัญหาเชาว์

พ่ออุ้ย
อุ้มหลุ้มเท่าฮังต่อ ผ่อบ่หัน ตุ๊ทายได้ก่อ

ท่านว.
กลมๆเท่ารังต่อมองไม่เห็น คืออะไร ทายถูกมั้ย

พ่ออุ้ยไม่รอคำตอบ ถามแทรกขึ้นมาอย่างสนุก โจ๊ะโละเท่าคอม้าไปก้าบ่หันฮอย

ท่านว.
อะไรเอ่ยสูงๆเท่าคอม้าไปค้าไม่เห็นรอย

ระหว่างที่พวกเรานั่งนึกคำตอบกัน พ่ออุ้ยก็ทายปัญหาต่อไปอีก แต๊บแป๊บเท่าลิ้นช้าง ม๊างแผ่นดินเมือง

ท่านว.
อะไรเอ่ย บางๆเหมือนลิ้นช้างแต่สามารถขุดแผ่นดินขึ้นมาได้ทั้งเมือง

พ่ออุ้ยนึกคำถามได้อีก คราวนี้ทายออกมาเป็นชุดๆคล้องจอง ทำให้พวกเราได้เฮกันทั่วหน้า ตุ๊บๆกลางนา... พญากลางดง... โต๊งโก๊งกลางดอย... คาบฝอยล่องห้วย

ท่านว.
คราวนี้รู้หรือยังว่าพระอาจารย์เป็นกวีเหมือนใคร (ท่านว.หัวเราะชอบใจใหญ่)

พ่ออุ้ย
“แก้ได้ก่อๆ” (ทายถูกมั้ยๆ) พ่ออุ้ยเร่งให้พวกเราทายกันไวๆ ก่อนจะเฉลยให้ฟัง... (โปรดดูเฉลยท้ายบทสัมภาษณ์)

หลังจบการเล่นปริศนาคำทายตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงแล้ว พ่ออุ้ยมีทีท่าว่าเริ่มจะเหนื่อย เราจึงให้ท่านพัก และหันมาสัมภาษณ์ท่าน ว.แทน โดยมีพ่ออุ้ยนั่งฟังอยู่ข้างๆ

ตอนนี้เหลือโยมพ่อคนเดียวแล้ว อยากทราบว่าพระอาจารย์ดูแลปรนนิบัติโยมพ่ออย่างไรบ้างคะ

พอพ่อเริ่มอายุเจ็ดสิบ พระอาจารย์ก็บอกให้พี่ทุกคนกลับมาอยู่ใกล้ๆพ่อ เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนไปค้าขายต่างจังหวัดกันหมด ตอนนี้พ่อจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเราทุกคน ส่วนพระอาจารย์เองก็หักดิบออกจากกรุงเทพฯตอนอายุ 35 ตอนที่กลับมา เพื่อนบอกว่าพระอาจารย์โง่มาก เพราะกำลังมีชื่อเสียง แม้แต่พระผู้ใหญ่บางท่านก็ไม่เห็นด้วย บอกว่าเราหนีกลับมาอยู่เชียงรายแบบนี้จะไม่มีอนาคต แต่พระอาจารย์มีความเห็นว่า ตอนที่แม่ยังอยู่ เราก็ไม่ทันได้ดูแลท่านอย่างเต็มที่ เพราะพอพระอาจารย์เรียนถึงแค่เปรียญธรรมเจ็ดประโยคแม่ก็จากไป

ฉะนั้นเมื่อพ่อยังอยู่ เราควรต้องกลับมาอยู่กับท่าน เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ถอยไปข้างหน้า จะได้ดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด ให้พ่อแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ ได้กินอิ่มนอนอุ่น สุขภาพดี อยากมาหาพระลูกชายเมื่อไหร่ก็มาได้ทันที เพราะที่นี่ห่างจากเชียงของ(บ้านพ่ออุ้ย)เพียงชั่วโมงครึ่ง แล้วที่กุฎิของพระอาจารย์ก็จะมีเตียงสแตนด์บายไว้ให้พ่อตลอด เผื่อพ่อมาวันไหนแล้วอยากจะนอนก็นอนได้เลย พระอาจารย์คิดว่า ถ้าอยากให้พ่อแม่อายุยืน เราต้องอยู่ใกล้ๆท่าน เพื่อให้ท่านรู้สึกว่าท่านยังมีคุณค่าในสายตาของลูกหลาน

นอกจากนั้นพระอาจารย์ก็พาพ่อเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมด้วย วันพระวันสำคัญต่างๆก็ให้พ่อได้ตักบาตรทำบุญ ให้ได้อยู่ในบรรยากาศของบุญกุศลตลอด และทุกปีก็จะให้พ่อเป็นประธานกฐิน ซึ่งตรงตามที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า การตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุดคือการพาพ่อแม่เข้าสู่เส้นทางธรรม

ซึ่งเราทำอยู่เสมอ และถ้ามีเวลาว่าง พระอาจารย์ก็จะพาพ่อนั่งรถเที่ยวข้ามไปฝั่งแม่สาย พาพ่อไปดูเสื้อผ้าอาภรณ์ แถวฝั่งพม่าท่าขี้เหล็กเขารู้จักพ่อกันหมด แค่พ่อเดินผ่าน เขาก็เอาของมาให้แล้ว ไม่ว่าพระอาจารย์จะไปด้วยหรือไม่ พ่อก็ได้ของกลับมาเต็มคันรถเหมือนกัน

บางครั้งก็พาพ่อไปเที่ยววัดร่องขุ่น เที่ยวน้ำตก แล้วก็พาพ่อนั่งเครื่องบินไปกรุงเทพฯ ไปวัดพระแก้ว ไหว้หลวงพ่อโสธร และพาไปสยามพารากอนด้วย ซึ่งพ่อชอบมาก ไม่ได้ชอบสินค้านะ แต่ชอบขึ้นบันไดเลื่อน พ่อเรียกว่า “คันไดไหล”
พูดจบท่านว.ก็หันไปถามพ่ออุ้ยว่า “ตี้ลูกพาป้อขึ้นเครื่องบิน ม่วนก่อ”

พ่ออุ้ยยิ้ม “ม่วนกา”

ท่านว. แรกๆพาพ่อขึ้นเครื่องบิน พ่อมีแค่ย่ามใบเดียว แต่พอเห็นคนโน้นคนนี้มีกระเป๋าลาก ลงจากเครื่อง พ่อบอกซื้อกระเป๋าลากให้พ่อหน่อย พ่อจะเอาไว้ขึ้นเครื่องบิน ทุกวันนี้พ่อเลยมีกระเป๋าลากเป็นของตัวเอง (ท่านว.ยิ้มชอบใจ)

มีธรรมะข้อไหนที่ท่านว.มอบให้คุณพ่อเป็นพิเศษมั้ยคะ

ธรรมะสำหรับตระกูลเรา หนึ่งคือ ความกตัญญู สองคือไม่ประมาท เราจะถือว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันคือชั่วโมงทองคำ ซึ่งหมายถึง เราไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมื่อหลับตาลง ให้รู้สึกภูมิใจว่าเราได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างระหว่างเราพ่อแม่ลูก

พระอาจารย์คิดว่าเราควรทำทุกวันให้เป็นวันพ่อวันแม่ และเป็นวันที่พิเศษเสมอสำหรับท่าน บ้านเราจะมีลูกๆล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กับพ่ออย่างนี้ตลอด วันดีคืนดีพระอาจารย์ก็จะให้ช่างซอที่พ่อชอบมาซอให้พ่อฟัง บางทีก็เอารถไปรับพ่อไปกินอาหารในเวียง(ตัวเมืองเชียงของ)

ลูกๆทุกคนจะซื้อเสื้อผ้าให้พ่อให้แม่เสมอ และทุกสิ้นปี พระอาจารย์จะต้องซื้อฟูกซื้อที่นอนซื้อผ้าห่มใหม่หมอนใหม่ และเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้พ่อ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านใช้ประจำ พระอาจารย์ทำทุกปีจนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว

การที่พระอาจารย์ดูแลป้อนข้าว ป้อนน้ำ ล้างเท้าให้พ่อ แต่กลับมีคนตำหนิ พระอาจารย์มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ

คนเราทุกวันนี้ถูกสอนให้มีทักษะในการทำมาหากิน แต่ไม่มีทักษะในการใช้ชีวิต เรารู้สารพัดแต่เราไม่รู้พระคุณพ่อแม่ เราแคร์คนอื่นจนกล่าวว่าลูกค้าคือพระเจ้า โดยไม่รู้ว่าพระเจ้าที่แท้จริงคือพ่อกับแม่ของเราเอง เราบ้าเห่อวิ่งไปหาพระอรหันต์เอาเงินเอาทองไปประเคนให้ แล้วก็ปล่อยให้พ่อแม่อดอยากปากหมองอยู่ที่บ้าน

เรามุ่งเรียนภาษาต่างประเทศเพื่อเข้าสู่เออีซีเข้าสู่เวทีโลก แต่เราไม่เรียนภาษาธรรมเลย ดังนั้นเราจึงไม่สนใจที่จะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เราถือว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เลยไม่ต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ก็ได้ เห็นมั้ยว่าเราทอดทิ้งการศึกษาด้านจริยธรรมซึ่งสำคัญที่สุด

พระพุทธเจ้าสอนให้ลูกทุกคนกตัญญูกับพ่อแม่แม้คนๆนั้นจะเป็นพระสงฆ์ และพระพุทธองค์ไม่ได้สอนเท่านั้น แต่ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย สมเด็จพ่อของท่านนิพพานคาอ้อมกอดท่าน ส่วนสมเด็จแม่ พระองค์ก็เสด็จไปโปรดถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสได้แล้วก็จริง แต่ท่านไม่เคยตัดความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก ฉะนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่ง

เรื่องราวน่ารักสุดแสนประทับใจระหว่างท่านว.วชิรเมธีกับโยมพ่อ ยังมีต่อ ติดตามอ่านได้ทางนิตยสาร Secret ฉบับ 26 พ.ย. 57 ได้แล้วที่แผงหนังสือทั่วประเทศ

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook