รู้จัก “มิสเซิลโท” จาก “กาฝาก” สู่สัญลักษณ์แห่ง “ความรักและคริสต์มาส”

รู้จัก “มิสเซิลโท” จาก “กาฝาก” สู่สัญลักษณ์แห่ง “ความรักและคริสต์มาส”

รู้จัก “มิสเซิลโท” จาก “กาฝาก” สู่สัญลักษณ์แห่ง “ความรักและคริสต์มาส”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงเทศกาลวันคริสต์มาส นอกจากจะมีต้นสนที่ประดับประดาเพื่อการเฉลิมฉลองแล้ว ยังมีพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “มิสเซิลโท” (Mistletoe) ที่ธรรมเนียมตะวันตกนั้นจะให้เราจุมพิตกับคนที่เราอยู่ใต้พุ่มมิสเซิลโทด้วยกัน วันนี้จะพาไปย้อนถึงที่มาที่ไปของมิสเซิลโท ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันคริสต์มาสกัน

มิสเซิลโท ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Phoradendron ที่มาจากภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “โจรปล้นต้นไม้” เป็นพืชกาฝากเก่าแก่ ตระกูลเดียวกับไม้จันทน์ ที่เติบโตบนกิ่งไม้พืชยืนต้นอื่นๆ

ความพิเศษของมิสเซิลโท คือใบไม้จะไม่ร่วงแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันโหดร้ายหรือเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีมากถึง 1,300 สายพันธุ์ทั่วโลก ด้วยความพิเศษของพืชกาฝากชนิดนี้ ทำให้ต้นมิสเซิลโท เป็นประโยชน์กับนก ผึ้ง และผีเสื้อเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่พืชต่างๆล้มตาย

มิสเซิลโทปรากฏอยู่ในบันทึกตำนาน ประเพณี บทประพันธ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตำนานหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ใน Smithsonian ระบุว่า ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 13 Baldur บุตรของเทพแห่งดวงอาทิตย์ ที่สิ่งมีชีวิตทั้งโลกเกลียดชัง เดือดร้อนถึงภรรยาและ Frigga เทพแห่งความรักและการแต่งงาน จึงต้องร้องขอสิ่งมีชีวิตและสรรพสัตว์ทั้งโลกให้ไว้ชีวิต Baldur แต่กลับลืมต้นมิสเซิลโท ลูกธนูที่ทำจากพืชกาฝากชนิดนี้จึงกลายเป็นอาวุธสังหาร Baldur ในที่สุด

ตำนานหลังจากการลอบสังหารก็มีความหลากหลาย บ้างก็ว่า Frigga ผู้เป็นมารดาหลั่งน้ำตาแห่งความอาดูรจนทำให้ผลของมิสเซิลโทกลายเป็นสีขาว บ้างก็ว่า Baldur กลับฟื้นคืนมาได้ ทำให้ Frigga ยกให้ต้นมิสเซิลโทคือสัญลักษณ์แห่งสันติสุขและความรัก

Wall Street Journal บอกว่า ในช่วงเทศกาลโครเนีย ในคริสตศักราช 79 ซึ่งเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวของชาวกรีก เมื่อมีผู้ค้นพบความพิเศษของต้นมิสเซิลโทและเชื่อว่ามีพลังพิเศษ ต้นมิสเซิลโทจึงเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผู้คนในยุคนั้น ทั้งการแขวนไปหน้าบ้านเพื่อนำพาความโชคดีมาใช้ นำมาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ รวมถึงแก้การเป็นหมัน และยังใช้ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น ไล่แม่มด ป้องกันไฟไหม้ และยังเชื่อว่าเป็นต้นไม้สร้างความปรองดองอีกด้วย

แม้ว่าตำนานและเรื่องราวของมิสเซิลโทจะมีมายาวนาน แต่การจุมพิตใต้ต้นมิสเซิลโทนั้น ปรากฏในการบันทึกของ Washington Irving นักเขียนชาวอเมริกันช่วงปี 1800 ที่ระบุว่า

"ผู้ชายจะถือโอกาสจุมพิตหญิงสาวที่หมายปอง ระหว่างที่กำลังเก็บผลจากมิสเซิลโท ถ้าเก็บจนหมดต้นก็เป็นอันหมดเวลา"

ต้นมิสเซิลโทเข้ามาสู่วัฒนธรรมของอังกฤษในช่วงคริสต์มาส จากบันทึกในช่วงปี 1800 และจะมีการแขวนพุ่มมิสเซิลโท ที่เรียกว่า Mistletoe Bough ก่อนที่ต้นคริสต์มาสที่มาจากต้นสนจะถูกนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับการจุมพิตใต้ต้นมิสเซิลโทนั้นกลับถูกพบว่าเกิดขึ้นระหว่างคนรับใช้ในช่วงวันคริสต์มาสและกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสมัยนั้น

การจุมพิตใต้พุ่มมิสเซิลโทกลับมาในอังกฤษอีกครั้ง จากหนังสือของ Charles Dickens หลายเล่ม ทั้ง The Pickwick Papers (1837) และ A Christmas Carol (1843) และเรื่องสั้นโรแมนติกของ Anthony Trollope ที่มีชื่อว่า The Mistletoe Bough ซึ่งมีฉากจบด้วยการจุมพิตใต้ต้นมิสเซิลโท

มิสเซิลโทเริ่มเข้ามาในสหรัฐฯเมื่อช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 ในบอสตัน และเริ่มแพร่หลายในช่วงปี 1820 จากบทประพันธ์ของ Washington Irving เรื่อง The Sketch Book ที่เล่าถึงประเพณีของคริสต์มาสในอังกฤษที่ต้องมีมิสเซิลโท และเรื่องเล่าของสาวใช้แดนผู้ดีและการจุมพิตใต้มิสเซิลโทปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย

ปัจจุบัน ยังมีการแขวนพุ่มมิสเซิลโทไว้หน้าบ้าน เพื่อสื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส มากกว่าการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และนำพาโชคดีรวมทั้งการมีบุตรหลานมาสู่ครอบครัวเหมือนในอดีต ขณะที่การจุมพิตใต้ต้นมิสเซิลโทนั้น เห็นจะเป็นการเปิดบทสนทนาในช่วงวันคริสต์มาสเสียมากกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook