ทำไม Facebook ถึงต้องซื้อ Instagram

ทำไม Facebook ถึงต้องซื้อ Instagram

ทำไม Facebook ถึงต้องซื้อ Instagram
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทำไม Facebook ถึงต้องซื้อ Instagram

ข่าว Facebook ซื้อ Instagram แล้ว เมื่อคืนนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของใครหลายๆ คน (ผมด้วย) และมีปฏิกริยาที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน ดีลนี้ก็คงเดินหน้าต่อไปไม่มีย้อนกลับ

Facebook ซื้อ Instagram

การซื้อกิจการครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะถ้าพิจารณาดีๆ แล้วมันคือ "social network ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ซื้อกิจการ "social network บนมือถือรายใหญ่ของโลก" (พูดง่ายๆ คือเบอร์ 1 ซื้อเบอร์ 1 ในอีกวงการที่ใกล้เคียงกัน) และสะท้อนให้เห็นความเคลื่อนไหว ยุทธศาสตร์ กลยุทธที่น่าสนใจมากมาย

ในโอกาสนี้ก็ขอลองเขียนบทวิเคราะห์มุมมองของผมไว้สักหน่อยนะครับ

ทำไม Facebook ต้องซื้อ Instagram

คำถามที่สำคัญที่สุดในรอบนี้คือ "ทำไม Facebook ถึงตัดสินใจซื้อ Instagram"

ผมคิดว่าคำตอบคือ Instagram กำลังคุกคาม Facebook อย่างเงียบๆ การซื้อครั้งนี้ถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ทำลายว่าที่คู่แข่งในอนาคตตั้งแต่ยังเยาว์วัย

Instagram ไม่ใช่บริการชนิดเดียวกับ Facebook ที่มาชนกันตรงๆ (ไม่เหมือน Google+) แต่มันมีส่วนที่ทับซ้อนกับ Facebook อยู่ไม่น้อย ได้แก่

  • การแชร์รูปภาพ (ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ Facebook มาตั้งแต่แรก)
  • มีความเป็นโซเชียลในตัวเอง ติดตามเพื่อนในเครือข่ายได้ คอมเมนต์กันได้ ฯลฯ

Facebook เป็นเครือข่ายสังคมที่เกิดมาบนโลกของเดสก์ท็อป และเอาชนะคู่แข่งรายอื่นๆ (เช่น Myspace) มาได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่พอโลกเข้าสู่ยุคมือถือและสมาร์ทโฟน Facebook เองก็เริ่มปรับตัวไม่ทัน (ดูแอพของ Facebook สิครับ) และกลายเป็นช่องว่างให้เครือข่ายสังคมแบบ Instagram เกิดขึ้นมาได้

สมัยที่ทุกคนยังใช้แค่คอมพิวเตอร์ Facebook ยังรักษาสถานภาพของตัวเองไว้ได้สบาย เราออกไปเที่ยว ถ่ายภาพ กลับบ้านมาใช้คอม อัพโหลดรูปลง Facebook แล้วแท็กเพื่อนๆ คอมเมนต์กันเป็นที่สนุกสนาน Facebook ให้ประสบการณ์ตรงนี้ได้ดีมาก และถือเป็นนวัตกรรมของการแชร์รูปถ่ายในสมัยนั้น

แต่ในยุคที่ทุกคนมีสมาร์ทโฟน ถ่ายรูปแล้วกดแชร์จากมือถือได้ตรงนั้นเลย คอมเมนต์กันเองได้จากแอพ Instagram เลย (ถึงแม้จะแชร์ลง Facebook ได้ด้วย) จะเห็นว่า Facebook เริ่มถูกตัดตอนออกไปจากวัฎจักรของผู้คนเสียแล้ว

Facebook เองก็คงรู้เรื่องนี้ดี แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องวิธีคิดขององค์กรที่โตมากับเดสก์ท็อป ทำให้ปรับตัวช้า (มาก) และทุกวันนี้แอพ Facebook ก็ยังมีความสามารถจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับ Instagram (จริงๆ แล้วเครือข่ายสังคมลักษณะคล้ายๆ กันอย่าง Flickr เองก็ปรับตัวช้าเหมือนกัน น่าจะด้วยเหตุผลเดียวกัน) ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป Instagram โตขึ้นเรื่อยๆ มันจะเริ่มใหญ่พอมีอำนาจต่อรองกับ Facebook อย่างแน่นอน

ทางแก้ก็ตรงไปตรงมา สู้ไม่ได้ก็ซื้อเสีย ถ้าไม่ขายก็ขึ้นราคาไปเรื่อยๆ ซึ่งสถานะทางการเงินตอนนี้ของ Facebook เงินจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ (ไม่ใช่เงินสดทั้งหมดด้วยซ้ำ) ก็ไม่ได้ถือว่าเกินเลยไปนัก แลกกับการรักษาสภาวะการนำของตัวเองในโลกโซเชียลต่อไป

Instagram ต่อจากนี้ไป

Mark Zuckerberg พูดไว้ชัดเจนว่าจะไม่แตะแบรนด์ Instagram และยังคงนโยบายเดิมๆ ของ Instagram ทั้งเรื่องกลุ่มเพื่อนเดิมๆ และความสามารถในการแชร์ไปยังเครือข่ายสังคมอื่นๆ

ตรงนี้ Zuckerberg ถือว่าฉลาด เพราะป้องกันคนหนีจาก Instagram ไปบริการอื่นได้เยอะ (แม้ว่าจะมีบ้างตามข่าวที่ออกมา) เพราะในแง่การใช้งานแล้ว Instagram ยังเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากที่ผู้ใช้เดิมคาดหวังว่าควรมี ตื่นมาเช้าวันพรุ่งนี้ Instagram ก็ยังหน้าตาไม่เปลี่ยนแปลง

การที่ Instagram ยังคงฟีเจอร์เดิมไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหายต่อ Facebook เพราะผู้ใช้ Instagram เกือบทุกคนน่าจะมี Facebook อยู่แล้ว และก็เชื่อมต่อเครือข่ายทั้งสองเข้ากันอยู่แล้ว การบีบให้ผู้ใช้ Instagram มาใช้ Facebook คงไม่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้ให้กับ Facebook อย่างมีนัยยะสำคัญนัก แถมยังทำให้คนต่อต้านเปล่าๆ

ในเบื้องต้นแล้ว ทั้งสองทีมคงแยกกันพัฒนาบริการของตัวเองขนานกันไปอีกระยะหนึ่ง อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมของ Facebook ที่ปกติจะซื้อบริษัทเพื่อเอาคนมากกว่าเอาฐานลูกค้า (ดูอย่างกรณีของ Friendfeed หรือ Gowalla ก็ได้)

ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้อีกสัก 1 ปีข้างหน้า Instagram น่าจะเดินหน้าต่อด้วยแผนเดิมของตัวเอง และมีอิสระในการบริการงานพอสมควร

Facebook + Instagram

สิ่งที่น่าจับตาคือ Facebook จะนำจุดแข็งของ Instagram มาผนวกกับบริการของตัวเองได้อย่างไร

อันนี้บอกตามตรงว่าผมก็ยังนึกไม่ค่อยออก แบบง่ายที่สุดที่เป็นไปได้คือ ความสามารถด้านการถ่ายภาพและใส่ฟิลเตอร์ของ Instagram จะค่อยๆ ทยอยเข้ามาอยู่ในแอพ Facebook บนมือถือด้วย แต่ในระยะยาวแล้ว คิดว่ากำลังคนของ Instagram ที่เชี่ยวชาญการทำแอพมือถือ น่าจะเข้ามาช่วยพัฒนาส่วนอื่นๆ ของแอพ Facebook นอกเหนือจากฟีเจอร์ถ่ายภาพด้วย

เราคงต้องใช้เวลาเฝ้าดูกันอีกสักพักหนึ่งว่า Facebook จะสามารถใช้ประโยชน์จาก Instagram ได้มากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ทีมงาน Instagram คงกลายเป็นกรณีศึกษาของการสร้างแอพที่ประสบความสำเร็จทั้งแง่ผู้ใช้และความร่ำรวยแก่นักพัฒนาทั่วโลก

และอีกสัก 5 ปีข้างหน้า ถ้าเราย้อนมามองดูเหตุการณ์นี้แล้ว ก็น่าจะสรุปได้ว่า Mark Zuckerberg มีวิญญาณเพชรฆาตที่เฉียบคมมากทีเดียว

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย: mk

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook