ชี้อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ในเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้น
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060

    ชี้อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ในเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้น

    2003-06-11T00:00:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้
    สำนักข่าวไทย : กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์หรือบีเอสเอ ผู้ดูแลลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทไอทีข้ามชาติรายงานผลการสำรวจอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ทั่วโลกรายปีครั้งที่ 8 พบว่า อัตราเฉลี่ยของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2539 โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ นาย เจฟฟรีย์ ฮาร์ดี รองประธานและผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของบีเอสเอ กล่าวว่า จากผลการศึกษาพบว่า อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเอเชีย-แปซิฟิกได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นปีที่ ๓ ติดต่อกัน และอยู่ที่ระดับร้อยละ 55 ในปี 2545 จากปี 2537 ที่มีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ในเอเชีย-แปซิฟิกอยู่ที่ร้อยละ 68 และได้ลดลงเหลือร้อยละ 47 ในปี 2542 แต่ในปี 2543 อัตราการละเมิดกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยแนวโน้มดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจีน รวมถึงอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่สูงมากในตลาดบีเอสเอเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งสวนทางกับภูมิภาคอื่นทั่วโลก ยกเว้นยุโรปตะวันออก มูลค่าความสูญเสียจำนวนมหาศาลที่เกิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ในภูมิภาคนี้โดยสำหรับอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทยยังคงอยู่ที่ร้อยละ 77ในปี 2545 เท่ากับปีก่อนหน้านั้น ส่วนยอดการสูญเสียรายได้เพิ่มขึ้นจาก 41 ล้านดอลล่าร์ในปี 2544 เป็น 81 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านนายโจนาธาน เซวาสกาเม ประธานคณะกรรมการประจำประเทศไทยของบีเอสเอ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ตระหนักถึงผลประโยชน์ที่พึงได้รับจากการลดการละเมิดลิขสิทธิ์โดยรัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา จึงได้ดำเนินมาตรการอย่างจริงจังในการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งหากประเทศไทยสามารถลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ได้ 10 จุด ในช่วงระยะเวลา 4 ปี คือตั้งแต่ 2545 ถึง 2546 จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ 437.4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะช่วยสร้างงานที่มีค่าตอบแทนสูงประมาณ 3,499 อัตรา และเพิ่มรายได้จากภาษี 21.2 ล้านเหรียญสหรัฐโดยรัฐบาลจะสามารถนำรายได้ในส่วนนี้ไปใช้เป็นงบประมาณในการจัดหาบริการและสวัสดิการสังคมแก่ประชาชน