‘กูเกิล’ เพิ่มวิธีเก็บข้อมูลส่วนตัว ไม่ให้โผล่ในการค้นหาออนไลน์

‘กูเกิล’ เพิ่มวิธีเก็บข้อมูลส่วนตัว ไม่ให้โผล่ในการค้นหาออนไลน์

‘กูเกิล’ เพิ่มวิธีเก็บข้อมูลส่วนตัว ไม่ให้โผล่ในการค้นหาออนไลน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กูเกิล (Google) ได้เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้เพื่อเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวให้ปลอดภัยจากการค้นหาข้อมูลทางออนไลน์ โดยจะให้ผู้ใช้สามารถร้องเรียนให้นำข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล์ และที่อยู่ ออกไปจากผลการค้นหาทางออนไลน์ได้

นโยบายใหม่นี้ยังอนุญาตให้นำเอาข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นอันตราย หรือเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในการขโมยเอกลักษณ์บุคคล (identify theft) เช่น ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลลับที่ใช้ในการล็อกอิน

กูเกิล กล่าวในแถลงการณ์ว่า การเปิดกว้างในการเข้าถึงข้อมูลนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่นเดียวกับการให้อำนาจผู้คนในการปกป้องตัวเอง และรักษาข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนของพวกเขาให้เป็นความลับ

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังกล่าวด้วยว่า “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางออนไลน์ต้องไปด้วยกัน และเมื่อเราใช้อินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องสามารถควบคุมการค้นหา หรือการพบเจอข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของแต่ละคน"

ก่อนหน้านี้ กูเกิล เสิร์ช (Google Search) ได้อนุญาตให้ผู้ใช้ร้องเรียนให้มีการถอดถอนข้อมูลส่วนตัวที่จะเป็นภัยโดยตรงต่อพวกเขาออกไป ซึ่งรวมไปถึงการถอดถอนข้อมูลที่ผู้ประสงค์ร้ายนำออกไปเผยแพร่ และข้อมูลส่วนเช่น หมายเลขธนาคาร หมายเลขบัตรเครดิต ที่สามารถนำไปใช้ในการต้มตุ๋น หรือในการหลอกลวงทำธุรกรรมต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ได้ปรากฎในพื้นที่ออนไลน์ที่ไม่มีใครนึกถึงมาก่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ จึงทำให้กูเกิลต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย

นอกจากนี้ การที่มีข้อมูลสำหรับการติดต่อส่วนบุคคลอยู่บนโลกออนไลน์ให้ทุกคนได้เห็นนั้น ยังเป็นภัยได้อีกด้วย ซึ่งกูเกิลบอกว่าที่ผ่านมาบริษัทได้รับคำร้องเรียนให้นำเอาข้อมูลเหล่านั้นออกไปเช่นกัน

เมื่อได้รับคำร้องเรียนให้ลบข้อมูลออกไป กูเกิลกล่าวว่าบริษัทจะทำการศึกษาข้อมูลทั้งหมดในหน้าเว็บเพจที่ถูกร้องเรียนนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าในการนำเอาข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียนออกไป จะไม่ไปจำกัดข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ หรือข้อมูลสาธารณะบนหน้าเว็บของรัฐบาลหรือของทางการ

อย่างไรก็ตาม กูเกิลย้ำว่า การนำข้อมูลออกไปจากกูเกิล เสิร์ช ไม่ใช่เป็นการลบข้อมูลนั้นออกไปจากอินเตอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง ซึ่งการจะทำแบบนั้น ผู้ใช้อาจจะต้องติดต่อเว็บโฮสติ้ง (web hosting) ที่เป็นผู้ให้บริการเซิฟเวอร์ของเว็บไซต์นั้น ๆ โดยเฉพาะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook