
กลับมาพบกับรีวิวมือถือและ Gadget จาก Sanook! Hitech อีกครั้ง ความเดิมตอนที่แล้วกับการรีวิว Samsung Galaxy Note 10+ ที่ถือว่าเป็นตัวท็อปสุดของ Samsung ในปีนี้ แต่เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Samsung ได้ออกมาเลือกถึง 2 ขนาด ตามกระแสที่เขาบอกว่า Note ใหญ่เกินไป เรามาดูกันว่าสำหรับรุ่นเล็กแบบนี้ Samsung Galaxy Note 10 ขนาดปกติ จะมีดีอย่างไร
ภายในกล่องของ Samsung Galaxy Note 10 จะมีอุปกรณ์ที่เหมือนกับ Note 10+ ตั้งแต่
เริ่มต้นกับหน้าจอของ Samsung Galaxy Note 10 จะแตกต่างจาก Note 10+ ชัดเจน ด้วยขนาดหน้าจอ 6.3 นิ้ว แต่ยังได้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED เหมือนกัน และความละเอียดหน้าจอลดลงเหลือ Full HD+ แต่จะการแสดงผลหน้าจอจะเป็นอย่างไร รอชมในการทดสอบแสดงผลภาพหน้าจอ แต่สำหรับส่วนที่เหลือจะคล้ายกัน ได้แก่

ส่วนบนของหน้าจอจะมีลำโพงสนทนา ซึ่งมีขนาดเล็ก พร้อมกับ เซนเซอร์วัดการแทบหน้า (proximity) และเซนเซอร์จับความสว่างหน้าจอ แถมยังแสดงผลเวลา, icon แจ้งเตือน, สัญญาณมือถือ, ปริมาณแบตเตอรี่ ตรงกลางจะเป็นกล้องความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (Note 10+ ความละเอียดเท่ากัน)

ส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มกดเมนูต่างๆ สะดวกใช้งาน และมาพร้อมกับฟีเจอร์ 2 แบบ ได้แก่

รอบตัวเครื่องเป็นวัสดุ อะลูมิเนียมเกรด 7,000 ทั้งหมด และมีการคัดเลือกสีตามแบบของเครื่อง โดยฝั่งด้านขวาจะไม่มีปุ่มอะไรเลย

ส่วนปุ่มทั้งหมดทั้งปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มข้างมาอยู่ฝั่งซ้าย ต้องทำความคุ้นเคยเล็กน้อย และสามารถตั้งค่าปุ่มได้ที่ Setting (ตั้งค่า) > Advance Feature (คุณสมบัติขั้นสูง) > Side Button (ปุ่มด้านข้าง) จะมีให้ตั้งค่าทั้งแบบกด 2 ครั้ง หรือกดค้างหากจะเลือกให้เป็นปุ่มเปิดเครื่อง หรือเลือกกดค้างเป็นปุ่มควบคุมเครื่อง


ส่วนบนมีไมโครโฟนและช่องใหญ่ๆ คือลำโพงของเครื่อง และถาดใส่ซิมของ Samsung Galaxy Note 10 รองรับแด่ Nano SIM 2 ช่องเท่านั้น


ล่างสุดมีช่องใส่ปากกา S Pen, ลำโพงหลัก, ช่อง USB-C และ ไมโครโฟนของตัวเครื่อง ถ้าสังเกตดีๆ คือมันจะบางลงด้วยสำหรับดีไซน์ของเครื่อง


ในส่วนปากกาจะมีความแตกต่างแม้ว่าขนาดจะดูไปแล้วเท่าเดิมแต่ส่วนล็อคของปากกา เปลี่ยนไป ฉะนั้นใครนำ S Pen รุ่นเก่ามาใส่ ระวังจะไม่สามารถใส่ได้นะครับ

แต่ว่าด้านหลังของเครื่องจะมีกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (กล้องหลังรูรับแสง F1.5 – F2.4), 12 ล้านพิกเซล (Telephoto) และ 16 ล้านพิกเซลมุมกว้าง พร้อมกับ LED Flash แต่ไม่มี ToF Sensor และมีโลโก้ Samsung เหมือนเดิม

ภาพรวม / น้ำหนักของเครื่อง / สีสัน

ด้วยตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 10 จะมาพร้อมกับขนาดเล็กกว่า Galaxy Note 10+ พอสมควร (Note 10+ จะมีขนาด 6.8 นิ้ว) ทำให้ถือได้ง่ายและจับถนัดมือมากกว่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีมือไม่ใหญ่มากนัก หรือเป็นผู้หญิงที่ต้องการเครื่องที่มีขนาดพอดีมือ
สำหรับสีสันของ Samsung Galaxy Note 10 จะมาให้เลือก 3 สีได้แก่ Aura Pink ปากกาสีชมพู, Aura Black ปากกาสีดำ, Aura Glow ปากกาสีน้ำเงิน (สีออกเป็นรุ้งผสมกับสีที่เหมือนกับกระจก)
รายละเอียดของ Samsung Galaxy Note 10
การทดสอบประสิทธิภาพ / การทดสอบเล่นเกม

คะแนนประสิทธิภาพจาก Antutu ทำได้ที่ 355,113 คะแนน

คะแนนทดสอบจาก Geekbench 4 ทำได้ที่ Single Core 4403 คะแนน และ Multi Core 10324 คะแนน

เมื่อเห็นคะแนนถือว่าห่างจากรุ่นใหญ่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกันไปแล้วการเล่นก็มยังให้การตอบสนองที่่ดีและยังมี Game Space คราวนี้เพิ่มฟีเจอร์ DisCore ทำให้เชื่อมต่อกับ Social Network สายเล่นเกมไ่ด้ (รุ่น Galaxy Note 10+ ก็ทำได้ แต่ต้องอัปเดท ก่อนนะครับ)
การทดลองเรื่องการเชื่อมต่อ

Samsung Galaxy Note 10 ยังคงรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ WiFi 802.11 AX Dual Band, Bluetooth 5.0 รองรับ การบอกพิกัดทั้ง GPS, A-GPS ทำให้เกิดความแม่นยำในการนำทางสูงพอสมควร
การแสดงผลภาพ / ระบบเสียง

Samsung Galaxy Note 10 ยังคงได้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED เหมือนเดิม แต่ว่าความละเอียดหน้าจอลดลงเหลือ Full HD+ หรือ 2280x1080 พิกเซล และมีขนาด 6.3 นิ้วทำให้ไม่รู้สึกว่าการลดพิกเซล จะทำให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด ยังคงให้สีสันที่คมชัด และยังมีลูกเล่นปรับสีภาพและความละเอียดของภาพได้เช่นเดียวกัน
ส่วนระบบเสียงยังคงเหมือนเดิมคือ ให้ลำโพงคู่ทั้งบนและล่าง มาพร้อมกับ Dolby ATMOS ปรับรูปแบบเสียงได้ 4 โหมด
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ของเครื่อง / ระบบความปลอดภัย

สำหรับระบบปฏิบัติการยังคงใช้ Android Pie หรือ เวอร์ชั่น 9 เหมือนเดิม มาพร้อมกับ OneUI เวอร์ชั่น 1.5 เป็นเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงจาก Samsung Galaxy S10 เล็กน้อย แต่มีฟีเจอร์ทั้ง Notification ที่แสดงผลได้ดีและหน้า Setting ที่ใช้งานได้ง่าย ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องสามารถเลื่อนแล้วกดปิดที่ Notifcation ได้เลย และยังมีฟีเจอร์เยอะมากมาย ได้แก่
ฟีเจอร์การทำงานของเครื่อง
นอกจากฟีเจอร์ที่ S10 และ S10+ ที่มีมาให้ไม่ว่าจะเป็น Bixby Routine หรือ ฟีเจอร์การสั่งงาน Bixby ที่สามารถเปลี่ยนโหมดการทำงานได้แล้วยังมาพร้อมกับลูกเล่นที่จัดเต็ม ดังนี้




ฟีเจอร์จากปากกา S Pen




ฟีเจอร์การเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

การใช้งานกับคอมพิวเตอร์ยังรองรับการทำงานของ Samsung DeX จะปรากฏข้างในหน้าจอ โดยเครื่องจะบังคับให้คุณ Download Apps จากเว็บไซต์ เมื่อโหลดเสร็จแล้ว เราสามารถลาก File เข้า หรือ ออกจากคอมพิวเตอร์ได้ทันที ส่วนมือถือจะทำอะไรก็ได้ และควบคุมมือถือได้ระดับหนึ่ง ใช้งานได้ทั้ง macOS และ Windows 7, 10

หรือถ้าคิดว่าไม่สะดวกไม่อยากลง Apps เพิ่ม เฉพาะ Windows 10 จะมีฟีเจอร์ Link Your Windows ติดตั้งมาให้ในเครื่อง โปรแกรมนี้สามารถเชื่อมต่อกับ One Drive เพื่อเก็บรูป หรือ แสดงผล 25 รูปล่าสุด และยังรองรับการดูข้อความ SMS หรือ การแจ้งเตือนของภาพได้ด้วย (ต้องตั้งที่มือถือเท่านั้น)
สิ่งที่จะทำไม่ได้คือเรื่องของการสร้างภาพ 3D ผ่านโปรแกรม 3D Scanner และโปรแกรมที่เกี่ยวกับการใช้งาน ToF Sensor
ระบบความปลอดภัย


นอกจากที่ Samsung วางระบบ Samsung KNOX มาให้ในเครื่องที่ทำให้เกิดฟีเจอร์ความปลอดภัยเกี่ยวกับรหัสของเครื่อง (Samsung Pass) หรือการใช้ Secure Folder และระบบการจ่ายเงินโดยไม่ต้องใช้บัตร (Samsung Pay) ยังมาพร้อมกับระบบสแกนใบหน้าแบบ 2D
และระบบสแกนลายนิ้วมือที่เลื่อนตำแหน่งมาเกือบกึ่งกลางเครื่องเพื่อให้ตำแหน่งสูงกว่า S10 เดิมชัดเจน ทำให้การสแกนนิ้ว จะง่ายขึ้น จากที่ใช้มา ก็ถือว่าง่ายจริงๆ
เปิดกล้องลองถ่ายภาพใน Galaxy Note 10

มาถึงเรื่องของกล้อง Samsung Galaxy Note 10 กันบ้างเพราะว่าสิ่งที่กล้องหลังของมือถือรุ่นนี้ให้มาประกอบไปด้วยกล้องทั้งหมด 3 ตัวได้แก่
เมื่อไม่มี ToF Sensor ก็เท่ากับสิ่งที่กล้องของ Samsung Galaxy Note 10 จะเหมือนกับ S10 และ S10+ แต่คุณภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไร รอรับชมกันต่อไป
หน้าจอฟีเจอร์ควบคุมกล้องของ Samsung Galaxy Note 10

เมนูต่างๆ ของกล้อง Samsung Galaxy Note 10 ยังมาพร้อมกับลูกเล่นที่น่าใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโหมดกล้องที่เหมือนกับ Galaxy A80 คือ การถ่าย Live Focus แบบวิดีโอที่เพิ่มลูกเล่น Effect มากขึ้น และการละลายหลังใช้ ToF Sensor จะดูจริงกว่ารุ่นปกติ ที่จะรีวิวในลำดับถัดไป
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy Note 10



สำหรับภาพถ่ายในแบบกลางวันก็ยังคงทำได้ดีเหมือนเดิมไม่ผิดหวังกับมือถือรุ่นนี้



ภาพกลางคืนก็เช่นเดียวกัน ถือว่าเก็บรายละเอียดได้ดี และเมื่อเครื่องเล็กทำให้การถ่ายจะง่ายกว่ารุ่น Plus แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดอาการภาพสั่นไหวได้ง่าย



ภาพแบบอื่นๆ ยังคงให้การละลายหลังได้ดี แต่ว่า สิ่งที่ต้องปรับคือเรื่องการละลายหลังอาจจะยังไม่เนียนเท่ากับรุ่น Plus เพราะขาด ToF Sensor แค่นั้นเอง
การถ่ายวิดีโอด้วย Galaxy Note 10

สำหรับในเรื่องการถ่ายวิดีโอ Samsung Galaxy Note 10 จะมาพร้อมกับความละเอียดกล้องอยู่ที่ 4K 60 FPS และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slowmotion ได้ในระดับ 960 FPS กันเลยทีเดียว และยังมีลูกเล่นมากมายไม่ว่าจะเป็น
ดังนั้นใครที่อยากนำมือถือรุ่นนี้ไปถ่ายวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ๆ นี่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และยังสามารถตัดต่อได้ในเครื่องอย่างที่เล่าไปในส่วนของฟีเจอร์
กล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล เป็นอย่างไร

สำหรับกล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note 10 จะมาพร้อมกับความละเอียดที่ 10 ล้านพิกเซล และเลนส์กล้องยุบเหลือเลนส์เดียวแล้ว แต่การทำงานกลับไม่ได้ด้อยลงแต่อย่างใด เพราะมีการเพิ่มลูกเล่นเข้าไป คือ ทั้งกล้องหน้าสามารถถ่าย Hyperlapse ได้เหมือนกล้องหลัง, ถ่าย Live Focus ทั้งแบบภาพนิ่งและวิดีโอได้ และมี Effect เหมือนกล้องหลัง รวมไปถึง เพิ่ม Night Mode เข้าไป

ภาพที่ออกมาถือว่าคมชัดดีและถ้าปรับ Beauty Mode อาจจะบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามันละลายหลังได้ดีกว่ารุ่นก่อนมาก และความจริงทำได้มากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ดูหลอกทั้งๆ ที่รูรับของกล้องหน้าเป็น F2.2 มากกว่าของ S10 เพราะกล้องต้องมีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม ทำให้จำเป็นต้องบีบรูรับแสงนั่นเอง
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ

ส่วนการชาร์จไฟของ Samsung Galaxy Note 10 จะรองรับกำลังไฟ 25W เมื่อเทียบกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ให้ สามารถให้พลังงานได้เร็วพอสมควรเลยทีเดียว โดยการทดสอบแบตเตอรี่อยู่ได้ 9 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานแบบเต็มวันจะอยู่ได้ 1 วันพอดี แต่ถ้าเล่นเกมแนะนำ ติด Power Bank ไปด้วยจะดีกว่า
ในเรื่องของการชาร์จไฟของมือถือรุ่นนี้จะรองรับกำลังไฟ 25W ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดกล่อง ให้กำลังไฟที่เร็วชาร์จไฟ 0 – 100% สามารถจ่ายไฟได้ 80 นาที โดยประมาณ และรองรับระบบชาร์จไฟไร้สาย กำลังสูงสุด 15W นอกจากนี้ยังรองรับระบบจ่ายไฟไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นเช่น Smart Watch, หูฟัง หรือจะเป็นมือถือได้ โดยสามารถรายงานแบตเตอรี่ว่ามือถือเหลือไฟเท่าไหร่ เฉพาะ Smart Watch เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีระบบจัดการและจัดการแบตเตอรี่ให้ด้วด้วยถึง 4 โหมด แต่เครื่องจะปรับเป็นโหมด Optimize จะควบคุมได้ระดับหนึ่งและ Adaptive Battery ที่เป็นระบบของ Android Pie ติดตั้งมาให้เหมือนกัน โดยเราเลือกเปิดหรือปิดก็ได้ผ่านใน Setting (ตั้งค่า) > Device Care (การดูแลอุปกรณ์)

เรียกได้ว่ามือถือรุ่นนี้ไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างที่หลายคนคิด เพราะ Samsung Galaxy Note 10 รุ่นปกติ ที่มีขนาดเล็กแต่ฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาให้นั้น อัดแน่นครบแทบทุกอย่างขาดแต่เพียงเซนเซอร์ ToF Sensor หรือระบบวัดความลึกของภาพ, การเพิ่มความจำที่รุ่นนี้เพิ่มไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้งานอะไรหนักหนา 256GB ก็ถือว่าเพียงพอ และแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ พร้อมระบบชาร์จไฟกำลัง 45W แต่ได้ขนาดที่พกพาง่ายกว่าเยอะ
สำหรับราคาของ Samsung Galaxy Note 10 จะอยู่ที่ 32,900 บาท ซึ่งถูกกว่า Galaxy Note 10+ ถึง 5,000 บาท (ในรุ่นเริ่มต้น)

ถ้าสรุปอย่างเป็นทางการแล้ว Samsung Galaxy Note 10 ขนาดปกติ จะเหมาะกับผู้หญิง หรือ คนที่มองว่า Galaxy Note 10+ ใหญ่เกินไป และต้องการมือถือที่ตอบโจทย์ในราคาไม่แรงเกินไปจากรุ่นเดิม นี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
จุดเด่น
ข้อสังเกต
อัลบั้มภาพ 17 ภาพ