"วัคซีน" ป้องกันโรค กับข้อมูลสำคัญที่คุณควรรู้

"วัคซีน" ป้องกันโรค กับข้อมูลสำคัญที่คุณควรรู้

"วัคซีน" ป้องกันโรค กับข้อมูลสำคัญที่คุณควรรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วัคซีนป้องกันโรค มีด้วยกันหลายชนิด โดยวัคซีนแต่ละตัวก็จะทำหน้าที่ในการป้องกันโรคที่แตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้วคนเราควรจะต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง แล้ววัคซีนแต่ละประเภทจะสามารถป้องกันโรคอะไรได้บ้าง ทาง Hello คุณหมอ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ วัคซีนป้องกันโรคที่พบบ่อย มาฝากกันในบทความนี้

วัคซีน หรือ วัคซีนป้องกันโรค คืออะไร

วัคซีน (Vaccine) สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ได้โดยการทำงานร่วมกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทาง WHO ระบุว่า ณ ตอนนี้มีวัคซีนป้องกันโรคที่คุกความชีวิตมากกว่า 20 โรค ซึ่งสามารถช่วยให้ทุกคน ทุกวัย มีอายุที่ยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีขึ้น ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ เช่น คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ และโรคหัด ได้ถึง 2-3 ล้านคนในทุกปี

การฉีดวัคซีนป้องกันโรค เป็นองค์ประกอบหลักของการดูแลสุขภาพเบื้องต้นและสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจโต้แย้งได้ นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในการลงทุนด้านสุขภาพที่ดีที่สุด วัคซีนยังมีความสำคัญต่อการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดต่อได้อีกด้วย

9 วัคซีนป้องกันโรคที่พบบ่อย ที่คุณควรรู้จัก

การฉีดวัคซีน หรือ การรับวัคซีน อาจเป็นมาตรการป้องกันที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เพื่อป้องกันทารก เด็ก หรือวัยรุ่นจากการติดเชื้อ นอกจากนี้ วัคซีนบางชนิดสามารถป้องกันโรคในผู้ใหญ่ได้ด้วย ซึ่งมันช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น ความเจ็บปวด การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือแม้แต่ความตาย

สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ใช่เพื่อรักษาสุขภาพของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสุขภาพของผู้อื่นด้วย โดย วัคซีนป้องกันโรค ที่คุณควรรู้จัก มีดังนี้

1. วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine)

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นโรคที่ทำให้ตับอักเสบและถูกทำลาย รวมถึงอาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง ซึ่งเป็นภาวะที่เนื้อเยื่อเป็นแผลจนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของตับและมะเร็งตับได้ ไวรัสตับอักเสบบีนั้นติดต่อโดยทางเลือดหรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกาย

ในสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังถึง 1.25 ล้านคน โดย 36 เปอร์เซ็นต์ของคนในกลุ่มนี้ติดเชื้อในช่วงวัยเด็ก ซึ่งผู้ติดเชื้อตั้งแต่ทารกถึง 25 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิตด้วยโรคตับเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด

2. วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Tetanus, Diphtheria, and Acellular Pertussis หรือ Tdap)

การฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน เป็นการฉีดวัคซีนเพื่อเข้าไปกระตุ้นภูมิต้านทานที่ทำหน้าป้องกันบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน วัยรุ่นจะได้รับวัคซีนครั้งแรกระหว่าง 11-12 ปี จากนั้นจะได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และคอตีบ (Td boosters) ทุก 10 ปี

สำหรับผู้หญิงควรได้รับวัคซีนทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากทารกมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคไอกรน ทารกนั้นจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน (DTaP) เป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 2 เดือน

3. วัคซีนฮีโมฟีลุส อินฟลูเอนเซ ชนิดบี  (Haemophilus influenzae type b หรือ Hib Vaccine)

คุณสามารถฉีดวัคซีน Hib เพียงอย่างเดียว หรือจะฉีดร่วมกับวัคซีนอื่น ๆ ก็ได้ วัคซีน Hib ใช้ป้องกันแบคทีเรียที่เรียกว่า “ฮีโมฟีลุส อินฟลูเอนเซ ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b)” ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้อาจทำให้เกิดโรคปอดบวม (Pneumonia) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ (Epiglottitis) รวมถึงการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนอื่น ๆ โดยเชื้อ Hib สามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศ

4. วัคซีนป้องกันโรค โปลิโอชนิดฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine หรือ IPV)

ผู้ติดเชื้อโปลิโอส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใด ๆ มีน้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีอาการโปลิโออักเสบ หรือการติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจนำมาสู่อัมพาตถาวร แม้ในสหรัฐอเมริกาจะไม่ปรากฏกรณีใด ๆ ของการเป็นโปลิโอ แต่ก็ยังมีคำแนะนำให้เด็กทุกคนได้รับการฉีดวัคซีน เนื่องจากในประเทศอื่น ๆ ยังมีการระบาดของโรคโปลิโออยู่

5. วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโรต้า (Rotavirus Vaccine)

วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโรต้าทั้ง 2 ชนิด ได้รับการพัฒนาขึ้น เนื่องจากเห็นได้ชัดว่า การปรับปรุงสุขอนามัยไม่สามารถช่วยขจัดโรคได้ ไวรัสโรต้าเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในการเกิดโรคอุจจาระร่วงในทารก และเด็กทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วย 2-3 ล้านรายในสหรัฐอเมริกา เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 60,000 ราย และเสียงชีวิตระหว่าง 20-60 ราย

6. วัคซีนป้องกันโรค หัด คางทูม หัดเยอรมัน (Measles, Mumps, Rubella Vaccine หรือ MMR)

วัคซีน MMR เป็นวัคซีนรวมที่ฉีดเพื่อป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน โรคหัดมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง แผลในปาก อย่างเช่น จุดค็อปลิก (Koplik's spot) ทำให้เกิดโรคสมอง (Encephalopathy) หรือสมองได้รับความเสียหาย โรคคางทูมทำให้ต่อมน้ำลายบริเวณกกหู (Parotid) อักเสบและเจ็บปวด ทั้งยังสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับอ่อนและอัณฑะ แต่ไม่ได้ส่งผลทำให้สมองได้รับความเสียหายหรือเสียชีวิต

สำหรับโรคหัดเยอรมันนั้นทำให้เกิดต่อมน้ำเหลืองขยายใหญ่ขึ้น มีผื่นที่ผิวหนัง และปวดข้อ หากคุณแม่ตั้งครรภ์ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก อาจส่งผลทำให้ข้อเกิดความบกพร่องอย่างรุนแรงในทารกแรกเกิดได้

วัคซีน MMR เข็มแรกที่ฉีดจะสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้เพียง 95 เปอร์เซ็นต์จากวัคซีนที่ได้รับการฉีดเข้าไปในร่างกาย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องมีการฉีดเข็มที่ 2

7. วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine)

ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส และทำให้เกิดโรคงูสวัดในผู้ใหญ่ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์จำนวน 5 ใน 1,000 ราย ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยคนส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษามีอายุระหว่าง 1-4 ปี นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการฉีดวัคซีนในวัยเด็กจึงมีความสำคัญ นอกจากการติดเชื้อที่ผิวหนังแล้ว ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ยังทำให้เกิดโรคปอดบวมได้อีกด้วย

8. วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) ทำให้เกิดความเจ็บป่วยของตับเฉียบพลันในระยะสั้น ที่สำคัญเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางอาหาร น้ำที่ปนเปื้อน สุขอนามัยที่ไม่ดี และการสุขาภิบาลที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้

แม้ว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่อาจทำให้เกิดโรคระบาดที่สามารถคุกคามสุขภาพของผู้ติดเชื้อ ทำให้เสียเวลาในการทำงานหรือการเรียนนานหลายสัปดาห์

มากไปกว่านั้น ไวรัสตับอักเสบเอยังสามารถทนต่อกรรมวิธีการผลิตอาหารที่มาตรฐาน ทำให้เชื้อโรคชนิดนี้จัดว่าเป็นเชื้อโรคที่มีความแข็งแกร่ง ในปีค.ศ. 1988 ที่เซี่ยงไฮ้มีผู้ป่วย 300,000 คน ที่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบเอในช่วงที่มีการแพร่ระบาด

9. วัคซีนป้องกันโรค ไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไข้หวัดตามฤดูกาล ส่วนใหญ่แล้วไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญให้กับหลาย ๆ คน บางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ระบุว่า การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนแตกต่างกัน แต่ผู้คนหลายล้านคนป่วยเป็นไข้หวัดทุกปี คนจำนวนกว่าแสนคนที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และคนหลายหมื่นหรือหลายพันคนเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่ทุกปี แม้แต่คนที่สุขภาพที่แข็งแรงก็สามารถป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อประโยชน์ของประชากรที่มีความเสี่ยงสูงด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook