แพทย์แนะ 4 วิธีลด "รอยดำ" ตามซอกผิวหนัง

แพทย์แนะ 4 วิธีลด "รอยดำ" ตามซอกผิวหนัง

แพทย์แนะ 4 วิธีลด "รอยดำ" ตามซอกผิวหนัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
  • รอยดำตามข้อพับ ขาหนีบ อาจเกิดจากการเสียดสีกันของเนื้อ การแพ้หรือระคายเคือง ความอับชื้น การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขที่ตรงจุด

  • ผู้ที่มีขาหนีบดำ จากการที่ขาเบียดกันจากภาวะน้ำหนักเกิน แนะนำให้ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย และไม่ใส่กางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป

  • การใช้เลเซอร์ที่ช่วยลดความหมองคล้ำและรอยดำ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือต้องการเห็นผลลัพธ์ไว ในปัจจุบันมีหลายชนิด แพทย์ด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์จะช่วยพิจารณาเลเซอร์ที่มีความเหมาะสมให้แต่ละบุคคล

เมื่อปัญหากวนใจ โดยเฉพาะใครที่ชอบเปิดเผยเนื้อหนังหรืออวดหุ่นตัวเองผ่านชุดว่ายน้ำ นั่นคือ ตามซอกดำหรือคล้ำ ไม่ว่าจะเป็นซอกขาหนีบ ใต้รักแร้ ข้อพับ รอยบิกินี่ ซอกคอ ร่องก้น หรือแม้กระทั่ง น้องสาว (จิมมิ) แม้หลายคนจะลองหาวิธีแก้มาแล้วหลายวิธี แต่ก็ยังไม่ได้ผลดีเท่าไหร่

ปัญหารอยดำ (ตามซอก) เกิดจากอะไร

ผศ. พญ.ปุณยพัศฐิช์ ศิริธนบดีกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาตจวิทยา รพ.สมิติเวช สุขุมวิท ระบุถึงสาเหตุของการเกิดรอยดำตามซิกผิวหนังเอาไว้ ดังนี้

  • การเสียดสีกันของบริเวณระหว่างเนื้อ เช่น ขาหนีบดำ เกิดจากขาทั้ง 2 ข้าง โดยเฉพาะใครที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือมีรูปร่างที่อวบ เพราะการเสียดสีนานๆ จะทำให้ผิวหนังหมองคล้ำได้ เนื่องจากกลไกร่างกายตามธรรมชาติ ส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและเสียดสีกันมากๆ จะมีการผลิตเม็ดสีที่มากและเยอะกว่าผิวหนังตรงส่วนอื่น

  • การกำจัดขนผิดวิธี บ่อยและรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะใต้รักแร้ ทำให้ผิวได้รับการเสียดสี บาดเจ็บซ้ำๆ บางครั้งเกิดขนคุด รูขุมขนอุดตัน ผิวจึงตอบสนองด้วยการผลิตเม็ดสีมากขึ้น จึงทำให้เกิดรอยคล้ำตามมา

  • การแพ้หรือระคายเคืองจากเครื่องสำอาง โลชั่นทาผิว น้ำหอม บางครั้ง รอยดำอาจเข้มขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เนื่องจากการระคายเคืองอ่อนๆ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นผลิตเม็ดสีได้มากกว่าปกติ

  • ความอับชื้น หากบริเวณนั้นเกิดความอับชื้นขึ้นมา อาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ ส่งผลให้เกิดตุ่มคัน ผด หรือสิว หากมีตุ่มคัน เราจึงเผลอไม่ได้ที่จะเกาจนเกิดการอักเสบของผิวหนัง ส่งผลให้มีรอยดำตามมาได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ดูแลไม่ถึง

  • เสื้อผ้า หรือกางเกงที่สวมใส่รัดแน่นเกินไป ก็อาจทำให้ผิวหนังเกิดการเสียดสีกับผ้า ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของรอยดำตามซอกได้

  • กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด และอาการภูมิแพ้ ซึ่งบางครั้งเป็นปัจจัยที่เกิดจากภายใน อาจส่งผลให้เกิดรอยดำ คล้ำได้เช่นกัน

  • ภาวะตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้ผิวของคุณแม่ตั้งครรภ์บางคน มีรอยดำคล้ำ หรือมีสีเข้มขึ้นตามต้นคอ ข้อพับ ขาหนีบและหัวนม รักแร้ ซึ่งปกติแล้วรอยดำคล้ำเหล่านี้จะหายไปเองหลังการคลอดบุตร

  • ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อาจพบปื้นสีดำบริเวณคอ ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะผิวคล้ำ หนา และมีลักษณะเหมือนกำมะหยี่ มักจะเกิดบริเวณรักแร้ คอ และขาหนีบเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินเนื่องจากระดับอินซูลินที่สูง จะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีการเจริญมากขึ้นเรียกว่า อะแคนโทสิส นิกริแคนส์(Acanthosis nigricans) ผิวหนังลักษณะนี้มักพบในผู้ที่รูปร่างอ้วนมากๆ หรือในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากนี้ยังพบได้ในโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งทางเดินอาหาร และจากโรคความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด และในผู้ที่ได้รับยาบางชนิดเช่น ยาคุมกำเนิด และยาสเตียรอยด์ เป็นต้น

4 วิธีลดรอยดำ

  • ใช้กรดผลไม้หรือครีมผสมสารไวท์เทนนิ่ง โดยปกติผิวคนเราจะผลัดเซลล์ได้เอง ทุก 28 วัน แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นหรือการเสียดสีบ่อยๆ ทำให้การผลัดเซลล์ผิวอาจไม่เป็นไปตามปกติ การใช้กรดผลไม้ (Alpha Hydroxy Acid-AHA) จะช่วยเร่งให้ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์ที่เกิดมาใหม่ก็จะมีสีใกล้เคียงกับสีผิวโดยกำเนิดมากขึ้น แต่การเลือกซื้อควรเลือกกรดผลไม้ ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำ ไม่เกิน 15% เพราะถ้าเลือกสารที่มีความเป็นกรดเข้มข้นสูงอาจกัดผิว จนไหม้ อักเสบและดำถาวรได้ สำหรับครีมผสมสารไวท์เทนนิ่งนั้น สามารถเลือกดูจากส่วนผสมที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ เช่น ไทอามิดอล (Thaimidol) บิลทิล-รีซอซินอล (4-butylresorcinol) กรดทรานซามิก (Tranexamic acid) วิตามินซี (Ascorbic acid and derivative) วิตามินบี 3 (Niacinamide) อัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha-arbutin) กรดโคจิก (Kojic acid)

  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมมากจนเกินไป หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เคยใช้แล้วแพ้ ระคายเคือง เมื่อมีผื่นแพ้ระคายเคืองตามซอก ข้อพับ ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรแกะ เกา เพราะอาจจะเกิดการอักเสบตามมาได้

  • สำหรับผู้ที่มีขาหนีบดำ จากการที่ขาเบียดกันจากภาวะน้ำหนักเกิน แนะนำให้ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย และไม่ใส่กางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป

  • การใช้เลเซอร์ ที่ช่วยลดความหมองคล้ำและรอยดำ โดยแพทย์ด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์ สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือต้องการเห็นผลลัพธ์ไว

การลดรอยดำด้วย Pigment Laser (เลเซอร์ในกลุ่มที่จัดการกับเม็ดสี)

ปัจจุบันมีเลเซอร์หลายชนิดสามารถทำให้เม็ดสีจางลงได้ดี แต่การเลือกชนิดเลเซอร์ ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคนต้องใช้ความชำนาญของแพทย์ในการพิจารณา เพราะหากมีการปรับค่าของแสงเลเซอร์ที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้รอยดำกลับกลายเป็นมีสีคล้ำขึ้นได้ ตัวอย่างเลเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

  • Gentle MAX Pro เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องที่มีเลเซอร์ 2 ชนิด คือ Nd:YAG (1064/532) และ Alexandrite (755 nm.) อยู่ด้วยกัน ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวพรรณได้หลายแบบ เช่น เม็ดสีเข้มตามจุดต่างๆ ริ้วรอยตามใบหน้า ผิวไม่กระชับ เส้นเลือดบริเวณใบหน้า และการกำจัดขนใต้วงแขนหรือตามร่างกาย โดยเครื่องมือชนิดนี้จะมีระบบสเปรย์พ่นความเย็น DCD (Dynamic Cooling Device) ปกป้องผิวชั้นนอกไม่ให้เกิดผลข้างเคียง ในขณะที่ลำแสงเลเซอร์ตรงเข้าไปทำงานด้านในของผิวได้ทันที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยดำใต้รักแร้ เพราะนอกจากจะช่วยกำจัดขนถาวรได้แล้ว ยังปรับผิวใต้รักแร้ให้ขาวเรียบเนียนได้อีกด้วย

  • Picosecond Laser เลเซอร์ที่พัฒนามาจากเลเซอร์ชนิด Q-Switched Nd:YAG ที่ใช้สำหรับลบรอยสัก รอยดำที่แก้ไม่หาย รอยฝ้าลึก รอยแผลเป็น เนื่องจาก Picosecond Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีการพัฒนาพลังงานแสงแบบ Nanosecond เป็น Picosecond ซึ่งเป็นการส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นในระดับ 1 ต่อล้านล้านวินาที ทำให้เม็ดสีดำแตกตัวเป็นเม็ดเล็กๆ หลังจากนั้น เม็ดสีที่แตกตัวจะถูกเก็บทำลายและขับออกจากร่างกายตามระบบปกติโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ และสามารถทำการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนผลลัพธ์นั้นขึ้นกับสภาพผิวแต่ละบุคคล จึงควรให้แพทย์พิจารณาและประเมินจำนวนครั้งในการรักษา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook