เจาะลึกกับ “จี๋ จิตรลดา” หญิงแกร่งคิดบวก มอง “มะเร็ง” คือนางร้าย แต่ชั้นร้ายกว่าแก
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/he/0/ud/0/2045/j.jpgเจาะลึกกับ “จี๋ จิตรลดา” หญิงแกร่งคิดบวก มอง “มะเร็ง” คือนางร้าย แต่ชั้นร้ายกว่าแก

    เจาะลึกกับ “จี๋ จิตรลดา” หญิงแกร่งคิดบวก มอง “มะเร็ง” คือนางร้าย แต่ชั้นร้ายกว่าแก

    2015-12-04T16:22:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้
    “วัยหนุ่มสาว” คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต เพราะเป็นวัยที่เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเต็มที่ทั้งด้วยพลังกายและพลังใจ ได้มีความสุขกับชีวิตอย่างไร้ข้อผูกมัดใดๆ แน่นอนว่าเรื่องเกี่ยวกับโรคหรือปัญหาสุขภาพดูจะไกลตัวจากในวัยนี้อย่างมาก


    แต่อย่างที่เราพบเห็นกันบ่อยๆ ตามข่าวสารหลักหรือตามโซเชียล มีเดีย ที่ว่าหนุ่มสาวที่เราเห็นร่างกายแข็งแรงนั้น อยู่ดีๆ บางครั้งก็ต้องจากเราไปด้วยโรคร้าย ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน กับข่าวของ “น้องน้ำหนึ่ง” กัญณนนพัทน์ วงศาโรจน์ นางแบบโฆษณาเจ้าของประโยคฮิต “ชิดกว่าชมอีกอะ” ต้องเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเส้นประสาทด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น หรือแม้แต่ระดับดาราฮอลลีวู้ดอย่าง “แองเจลินา โจลี” ในวัย 37 ปีก็ตรวจพบว่าตนเองมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม ทำให้ตัดสินใจต้องตัดหน้าอกทั้ง 2 ข้างทิ้ง หรือแม้แต่เพื่อนฝูงของเราที่เคยทักทายตามเฟซบุ๊ก หรือทางไลน์ ที่จู่ๆ วันดีคืนดีก็ได้รับทราบข่าวร้ายว่าตรวจพบโรคร้าย แล้ววันหนึ่งเธอหรือเขาคนนั้นก็หายไปจากเราตลอดกาล ...


    นี่แสดงให้เห็นว่าบางทีเรื่องของโรคภัยโดยเฉพาะโรคร้ายแรงนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย และไม่สำคัญด้วยว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม


    และในวัย 35 ปีของผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่เราอยากให้คุณได้รู้จัก “คุณจี๋ จิตรลดา ทรัพย์สุข” ผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอย่างคาดไม่ถึง แต่เธอกลับสามารถผ่านพ้นโรคร้ายไปได้ด้วยทัศนคติสุดเริ่ดที่มาพร้อมกับ ‘รอยยิ้ม’


    เธอทำได้อย่างไร และอะไรคือสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ต้องพบเจอในวันที่ร่างกายยังแข็งแรง และชีวิตกำลังไปได้สวย แล้วมะเร็ง เริ่มย่างกลายเข้ามาในชีวิตเธอได้อย่างไร
     




    อาการคัน สัญญาณแรก
     
    “คุณจี๋” เล่าว่า อาการเริ่มแรกคือคันตามเนื้อตัว แต่มันก็ไม่เป็นผื่นอะไรเลย คิดว่าเดี๋ยวมันก็คงหายไปเอง ตลอดเวลาที่มีอาการคันไม่มีไข้ตัวไม่ร้อน ทุกอย่างปกติมาก ไปเดินห้างไปซื้อของเข้าร้านไปออกกำลังกาย ใช้ชีวิตเหมือนกับทุกๆ วัน ก็ยังคิดว่าบางทีอาจจะแพ้อากาศหรือเปล่า แต่สุดท้ายอาการคันนี้ก็ยังไม่หายเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์
    จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ผิวหนังก่อน เพราะคิดว่าเป็นอาการแพ้ทั่วไป ซึ่งคุณหมอก็ให้ยามาทา
    “ทาแล้วก็ไม่หายนะ แต่ยังไม่สำนึก ยังบินไปญี่ปุ่นต่อเลย ซึ่งมันก็ยังไม่หายอยู่ดี จนมีอาการไอเพิ่มขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะสำนึกอีก (หัวเราะ) ก็ยังคิดว่าอาจเป็นเพราะอากาศหนาวเลยทำให้ไอ อาการไอและคันนี้ทิ้งไว้เป็นเดือน จนกระทั่งไอหนักขึ้น สามีก็เลยไล่ให้ไปตรวจร่างกาย ซึ่งปกติก็ตรวจเป็นประจำทุกปี แต่ปีที่แล้วกลับคิดอะไรไม่รู้ไม่ยอมไป วันไปตรวจเช็คสุขภาพ พอตรวจปุ๊ปก็เจอเลย หมอบอกว่ามีความผิดปกติจากการ X-ray ปอดช่วงอก คุณหมอเลยเรียกไปพบบอกว่าฟิล์มมันผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเจนนะ เหมือนว่ามีเงาอะไรอยู่ค่อนข้างใหญ่ หมอจึงนัดให้มาทำ CT Scan แต่เราก็ยังลังเลกลับมาบ้านมาคุยกับสามีก่อนว่าจะยังไงดี”
     
    ในตอนนั้นตัวคุณจี๋เองยังไม่คิดว่า “โรคร้าย” ร้องทักแล้ว และตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่าอาการที่เกิดขึ้นยังห่างไกลจากความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย นั่นทำให้เธอยังคงรู้สึกอยากประวิงเวลาไปอีกหลายอาทิตย์ก่อนที่จะตัดสินใจกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เธอยังกล่าวติดตลกด้วยว่า
    “ที่ตัดสินใจไปเพราะโรงพยาบาลโทรตามถี่มากจนเราใจเสีย คิดว่าชั้นต้องไปแล้วล่ะ”
     
    รับฟังข่าวร้าย
    “คุณจี๋” เล่าต่อว่า พอตัดสินใจกลับไปโรงพยาบาลเพื่อทำ CT Scan ผลออกมาก็พบว่ามีก้อนเนื้ออยู่ประมาณ 10 ซม. อยู่ระหว่างปอด แต่มันยังไม่เข้าในปอด คุณหมอเลยส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางคือคุณหมอศัลยกรรมหัวใจและช่องอก ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นก้อนเนื้อเฉยๆ หรือเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่านั้น คุณหมอจึงให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ในระหว่างที่รอผลตรวจตัวคุณจี๋เองก็ใจไม่ดีแล้ว
    “ความรู้สึกช่วงนั้นมันแว่วๆ มานะว่าน่าจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะได้เปิดหาข้อมูลบ้างตามเน็ต ก็ทำใจไว้นิดนึง แต่ลึกๆ ก็ยังพยายามคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก คือมันคิดว่าคำว่ามะเร็งมันห่างไกลจากตัวเรามากๆ”
     
    ถึงวันไปฟังผล คุณหมอก็ยังพูดไม่ชัดว่าตัวคุณจี๋เองเป็นอะไรกันแน่ แต่ส่งคุณจี๋ให้ไปหาแพทย์โลหิตวิทยา โดยให้เหตุผลว่าทางนั้นจะเชี่ยวชาญมากกว่า ความสับสนจึงเกิดขึ้นอีกระลอก
    “เราก็แบบอ้าว! คุณหมอไม่ผ่าเลยล่ะคะ เป็นก้อนแบบนี้ก็ผ่าออกเลย หมอก็บอกไม่ผ่า ผ่าไม่ได้ เพราะว่าถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเขาจะไม่ผ่ากัน เขาจะใช้คีโมเพื่อให้มันยุบลงไป แต่สำหรับหมอนะหมอว่ามันใช่แล้วล่ะ 70% แต่เพื่อความชัวร์คุณไปให้หมอโลหิตฟันธงอีก 30% แล้วกัน”
     
    ตัวเลขออกมาขนาดนี้ 70% มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ความรู้สึกแรกที่คุณจี๋เผชิญคือ…
     “ตอนนั้นรู้สึกตกใจ คือทุกคนต้องตกใจแน่ๆ อุ้ยตายแล้วฉันเป็นมะเร็ง ก็รู้สึกเหมือนกับมึน อึน งง แบลงก์ไปเลย เป็นมะเร็งเหรอ?” 
     
     
     

    ซึ่งในระหว่างที่รอจะไปพบแพทย์โลหิต โดยส่วนตัวแล้วคุณจี๋เองยอมรับและมั่นใจเต็มที่แล้วว่าเธอคงเป็นมะเร็งแน่ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วงที่รอพบแพทย์โลหิต 2 ชั่วโมง แม้ว่าสามีและคุณแม่อึ้งไปพอควรหลังจากทราบข่าว แต่ทุกคนไม่ฟูมฟาย ไม่แสดงออกถึงความเครียด มีแต่ให้กำลังใจว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็รักษาหายได้
    “อย่างคุณแม่นี่ชิลล์มากนั่งเล่นเกมส์รอ (หัวเราะ) สามีก็โทรคุยกับเพื่อนหมอที่เขารู้จักไป เราก็นั่งเสิร์ชหาข้อมูลจากไอแพด ทุกคนมีกิจกรรมหมด แต่ไม่เครียด ไม่มีน้ำตา กำลังใจเรายังดีมากๆ คือไม่รู้จะร้องไห้ไปทำไม ร้องแล้วไง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร คือตอนนั้นอยากจะรู้ อยากจะได้ข้อมูลมากกว่าว่าโรคนี้มันรุนแรงไหม ก็พยายามหาข้อมูลเยอะๆ ในเวลา 2 ชั่วโมงนั้น” 
    จากนั้นคุณจี๋ได้เข้าไปรับฟังผลการตรวจ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าดูจากผลเลือดแล้ว อะไรหลายๆ อย่างแล้ว... เป็นแล้วล่ะ!
    “คือคุณหมอท่านดูอารมณ์ดีมาก บอกป่ะไปเจาะไขกระดูก เราก็อ๊ะ! เจาะเลยเหรอคะ ต้องแอดมิทไหม ยังไง เราไมได้เตรียมตัวอะไรเลย แต่คุณหมอบอกไม่ต้อง รอผมตรวจคนไข้แป๊ปนึงเดี๋ยวเจาะให้เลย แป๊ปเดียว คุณก็วิ่งออกไปได้แล้ว เราก็แบบงงมาก มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ (หัวเราะ)” 
     
    วันนั้นของคุณจี๋ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งเรื่องมะเร็ง ทั้งเรื่องเจาะไขกระดูก ซึ่งพอหมอบอกว่าเจาะ ทางคุณจี๋เองก็โอเค เพราะน่าจะดีกว่าหากรอต่อไปคิวจองจะแน่นขึ้นด้วยเหมือนกัน ถ้างั้นก็ลุยเลย โดยการเจาะไขกระดูกครั้งนี้นั้นก็เพื่อที่จะตรวจดูว่ามะเร็งที่เราเป็นนั้นมันไปถึงขั้นไหนแล้ว เข้าไปในไขกระดูกหรือยัง
    เตรียมพร้อมรับมือกับ โรคร้าย ด้วยประกันโรคร้ายได้คุ้ม คลิก!
    8 เข็ม! เข็มละเกือบแสน
     
    ในข่าวร้ายของวันที่เต็มไปด้วยความชุลมุน คุณจี๋เองได้พบกับข่าวดีหลังจากผลการเจาะไขกระดูกออกมา นั่นคือ ในส่วนของการลุกลามของมะเร็งนั้นยังไม่ไปถึงไขกระดูกจากนั้นก็เป็นเรื่องของแผนการรักษาว่าจะเป็นอย่างไร
    “ก็คือต้องให้คีโม คุณหมอได้แจ้งว่าจะต้องให้คีโม 8 ครั้งนะ ซึ่งชนิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่คุณเป็นเนี่ยดีว่ามันมียาพิเศษที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายได้ แต่ราคามันค่อนข้างสูงนะ” 
    และคำว่า “ราคามันค่อนข้างสูง” นั้นกระตุ้นความอยากรู้ของคุณจี๋ขึ้นมาทันที
    “เราก็แบบว่าเอ่อ..มันสูงแค่ไหนเหรอคะ หมอก็บอกเข็มละเกือบแสน เราก็ห๊ะ! เข็มละเกือบแสน 8 เข็มก็ 8 แสนนะ นี่ยังไม่รวมกับค่าตรวจเช็คอื่นๆ อีก ก็เลยถามว่าถ้าไม่ใช่ตัวนี้มีตัวอื่นไหม หมอก็บอกว่ามีเป็นยาธรรมดาตัวละประมาณ 5 พันกว่าบาท แต่ยาธรรมดานี่จะทำให้มีโอกาสหาย 70% ในขณะที่เจ้าตัวยาแสนแพงนั้นจะทำให้มีโอกาสหาย 85-90% แถมยังไม่ทำให้ร่างกายโทรมมาก และฟื้นตัวได้เร็วด้วย”
     
    อาจเหมือนฉากในละครที่เราๆ เคยได้ดูกัน หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว คุณจี๋ได้ใช้เวลาไตร่ตรองภายใต้ความคิดที่ว่า…
    “ในเมื่อมันเป็นเรื่องของชีวิต ถ้าให้เราเลือกอะไรเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแน่นอน”


     
     
    ให้คีโมครั้งแรก Amazing เหมือนขึ้นเครื่องบินครั้งแรก
     
    หลังจากที่ทราบแนวทางรักษาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณแล้ว คุณจี๋ไม่รอช้าขอนัดวันรักษากับทางคุณหมอ แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครจริงๆ เมื่ออุปสรรคยังไม่หยุดท้าทายผู้หญิงคนนี้! ทันทีที่คุณจี๋ขอนัดเพื่อเข้ารับการรักษาแต่ปรากฏว่าคุณหมอไม่ว่าง ต้องรออีก 2-3 สัปดาห์ แต่ตัวคุณจี๋เองรอไม่ไหวจริงๆ เลยตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาลหาคุณหมอท่านอื่นมารักษา
    “เราก็กลับไปเสิร์ชข้อมูลอีก จนกระทั่งไปพบข้อมูลของ รศ.นพ.สุภร จันท์จารุณี รพ.รามาธิบดี และยังเป็นถึงรองประธานชมรมมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วย คือท่านไม่ธรรมดาจริงๆ เราก็เอาล่ะคนนี้แหละ (ตบเข่า!) 
    จากนั้นก็เข้ารับการรักษากับ คุณหมอสุภรซึ่งวิธีการรักษาก็เหมือนกันเป๊ะๆ ไม่แตกต่างเลย คือ 8 เข็มและเข็มละเกือบแสนเหมือนเดิม เราก็ตัดสินใจทำ วันแรกที่ไปพบท่าน ท่านก็ให้ทำคีโมทันที ซึ่งจะต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลด้วยเลยทำให้ค่ารักษามันแพง ตกแสนกว่าบาท แต่ในครั้งที่ 2 ไม่ต้องค้างแล้วแต่ราคาก็คือ 7-8 หมื่นบาทต่อครั้ง” 
     
    พอถามว่ากลัวหรือกังวลไหม คุณดวง สามีคุณจี๋มาเล่าเสริมในส่วนของความรู้สึกแรกที่ให้คีโมว่า
    “คือครั้งแรกมันฟิน เหมือนเราได้เจออะไรใหม่ๆ เว้ย ตื่นเต้นอะเมซิ่งกันมาก ยังยิ้ม ถ่ายรูปชู 2 มืออยู่เลย มันตื่นเต้นเหมือนขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเลย เราเองก็ตื่นเต้นเพิ่งเคยเห็นการให้คีโม แต่อันนี้เราก็ไม่รู้ในใจเขาเป็นยังไงเห็นเค้ายิ้มๆ” 
    คุณจี๋สวนทันควันพร้อมขว้างค้อนด้วยสายตา! (ฮากันไป)
    “ถามชั้นยัง ชั้นฟินกับเธอรึเปล่า แต่ก็มีบ้างนะที่รู้สึกฟิน คือมันเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้น เห็นเค้าว่าทรมานอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ลองบ้างดิ เอาดิ๊เป็นไง พอใส่ยาครั้งแรกก็ไม่เป็นอะไร เพื่อนๆ ก็มาเยี่ยมครั้งแรกคึกคักกันใหญ่ จนพยาบาลต้องมาเตือนเลยว่าเบาๆ หน่อย”
     
    จากบทสนทนานี้ทำให้เราเห็นถึงกำลังใจที่คุณจี๋มีอย่างเต็มเปี่ยม แต่เบื้องหลังรอยยิ้มเหล่านั้นมีเรื่องราวซ่อนอยู่
     


    ช่วงเวลาที่เลวร้ายกับความสุขที่หายไป
     
    แต่คือจริงๆ เห็นร่าเริงอย่างนี้คือนอกจากจะให้กำลังใจตัวเองแล้วก็อยากให้ที่บ้านสบายใจด้วย คุณจี๋เล่าความในใจที่แท้จริง
    “ปลอบใจตัวเองด้วย ว่าเห้ย! มันต้องไม่เป็นอะไรสิ ทุกคนที่ให้ยามา มันก็ไม่ได้ตายทุกคนนิหว่า บางคนเขาก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เราก็ต้องไม่เป็นแบบนั้นเหมือนกัน พยายามที่แบบอะไรที่ทำให้เรามีความสุขแฮปปี้ก็ทำ ไปนอนโรงพยาบาล 5 วัน ไม่ใส่ชุดโรงพยาบาล 5 วันเลยเอาชุดนอนไปเอง เอาผ้าห่มไปเอง ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน แต่อาการมาออกตอนกลับมาถึงบ้าน คือเริ่มปวดกรามเวลาเคี้ยว แปรงฟันก็จะปวดๆ ลิ้นก็เริ่มไม่ค่อยรับรส แล้วก็มีอาการท้องผูก แต่ถามว่าถึงขั้นที่ทนไม่ได้ไหมมันก็ยังทนได้ แต่ไม่มีการอาเจียนเลย”
     
    คุณดวงกล่าวเสริมถึงสภาพจิตใจว่า
    “อาการมันไม่ได้มาตอนเข็มแรกครับ เพราะเข็มแรกรู้สึกแปลกใหม่ แต่พอเริ่มครั้งที่ 2-3 ก็มีความคิดว่าอีกแล้วเหรอ ต้องไปรับยาอีกแล้วเจอสภาพนี้อีกแล้วเหรอ เป็นวัฏจักรกลับมา 2-3 วันแรกก็จะเริ่ม กินอะไรโน้นนี่นั่นก็ไม่ได้ คือคุณหมอบอกว่าเวลาให้คีโมกลับไปอะไรที่กินได้พยายามให้เขากินเพื่อที่จะเตรียมมารับในครั้งต่อไป ให้ร่างกายแข็งแรง ให้สู้กับยาได้ แต่เนี่ยกินก็กินได้น้อย ไปไหนก็ไม่ได้ ก็ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดบ้าง แต่ไม่ได้หงุดหงิดกับเราเขาหงุดหงิดกับตัวเองมากกว่า” 
    ด้วยวัฏจักรที่ต้องเจอ ความสนุกไม่โผล่มาให้เห็นเหมือนช่วงแรกๆ อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความหงุดหงิดเข้ามาแทนที่ ทำให้คุณจี๋ต้องเจอกับช่วงที่เลวร้ายที่สุดของตัวเอง ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเองแต่ยังมีคนรอบข้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากไม่มีเธอครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร ไหนจะค่าใช้จ่ายที่แพงมากๆ อีก แต่ละเดือนก็ไม่เบา ถึงตัวคุณจี๋เองจะโชคดีที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เงินสำหรับเอามารักษาตัว เป็นเงินเก็บที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้ชีวิตหาความสุขมากกว่า
    ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แผนนี้… 
    “บางครั้งมันก็พีคสุดๆ จนถึงขนาดที่ว่าเรานอนอยู่แล้วกลัวว่าจะไม่ตื่นมาหายใจอีก เพราะเพลียมาก เป็นช่วงที่ดิ่งสุดๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลายๆ ครั้งในช่วงหลังของการให้ยา เรารู้สึกว่ามันไม่โอแล้ว แต่เรื่องที่เราเป็นนี่ไม่เคยคุยหรือบอกกับคนในครอบครัวเลยเพราะกลัวเขาจะรู้ว่าเราไม่ไหว บางครั้งก็คิดว่ามันไม่น่าเกิดกับเราเลย คิดว่าทำไมต้องเป็นกับเรา เราก็สุขภาพแข็งแรงดี เราไม่เป็นอะไรเลย เหล้าไม่กินบุหรี่ไม่สูบ เราก็ใช้ชีวิตปกติ เที่ยวกลางคืนโลดโผนเราก็ไม่ทำเลย”
     
    ที่สุดแล้วคนเราต้องลุกขึ้นมาสู้ และนี่คือสิ่งที่คุณจี๋บอกกับเราไว้
    “พูดกับตัวเองในใจว่าแบบ “เห้ย!อะไรวะ โมโหอะ แบบมึงจะเอายังไงกับกูวะ จะหายก็หาย” นี่เราพูดคนเดียวกับตัวเองแบบนี้เลย”
     
    นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการมอง “มะเร็ง” ในแบบฉบับของคุณจี๋ สาวแกร่งของเรา 
    “มะเร็ง” คือนางร้าย แต่ชั้นร้ายกว่า!
    คุณจี๋จะเปลี่ยนความร้ายกาจของมะเร็งให้กลายเป็นความเก๋แค่ไหน ติดตามได้ใน ชีวิตสุดอเมซซิ่ง เมื่อเจอกับ “มะเร็ง”


     

    [Advertorial]