เนื้อมนุษย์กินได้จริงหรือไม่? ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่หลายคนต้องอึ้ง!

เนื้อมนุษย์กินได้จริงหรือไม่? ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่หลายคนต้องอึ้ง!

เนื้อมนุษย์กินได้จริงหรือไม่? ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่หลายคนต้องอึ้ง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รู้หรือไม่ว่าการกินเนื้อมนุษย์ (Cannibalism) เคยถูกนับว่าเป็นวิธีรักษาโรควิธีหนึ่งเหมือนกัน ในสมัยศตวรรษที่ 17 ชาวยุโรปมักจะใช้ร่างของมัมมี่ที่บดแล้วเป็นยาเพื่อรักษาอาการปวดหัว ส่วนไขมัน เลือด และกระดูกของมนุษย์ล้วนถูกนำมาใช้รักษาโรคหลากหลายชนิด ไล่ตั้งแต่เก๊าท์ไปจนถึงเลือดกำเดาไหล ทว่าการกินเนื้อมนุษย์ในปัจจุบัน นอกจากจะผิดกฏหมายแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างเช่นที่เคยเป็นเหมือนในโลกยุคโบราณ

แต่ถ้าเราลองตั้งคำถามตามหลักวิทยาศาสตร์ดูว่า เนื้อมนุษย์นั้นที่จริงแล้วสามารถกินได้หรือไม่? คงต้องตอบให้ชัดเลยว่า ไม่ได้! เพราะการกินเนื้อมนุษย์นั้นมีอันตรายที่ร้ายแรงมาก และอาจทำให้คนที่กินเข้าไปเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิต

ข้อเท็จจริงอย่างแรกก็คือ เนื้อมนุษย์จัดเป็นเนื้อแดงที่ หากเทียบกับเนื้อแดงชนิดอื่น ถือว่ามีแคลอรี่ต่ำมาก อ้างอิงจากงานวิจัยหนึ่ง เนื้อมนุษย์จะมีแคลอรี่อยู่ที่ 1,300 กิโลแคลอรี่ต่อเนื้อหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน้อยกว่าเนื้อวัว และเทียบไม่ได้เลยกับเนื้อหมีและหมูป่า

 human_1

บางคนอาจจะคิดแผลงๆว่าเนื้อมนุษย์นี่คงเป็นเนื้อชั้นดีที่เหมาะกับสาวๆที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ลองคิดดูว่า ถ้าเราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องกินเนื้อมนุษย์จริงๆ (อย่างเช่นเวลาที่ดันไปติดเกาะ หลงป่า หรือสถานการณ์เลวร้ายอื่นๆ) การต้องเสียสละชีวิตเพื่อนรักเพื่อแคลอรี่อันน้อยนิดคงไม่ใช่เรื่องที่ เอ่อ… โอเคสักเท่าไหร่

ที่จริงแล้ว ร่างกายมนุษย์เรามีโรคต่างๆมากมายแฝงอยู่ภายใน ซึ่งบอกเลยว่า ถ้ากินเข้าไป คุณจะต้องเจอกับโรคที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าอาการอาหารเป็นพิษเสียอีก คนที่กินเนื้อมนุษย์ดิบๆมีโอกาสสูงมากที่จะติดโรคและไวรัสที่แฝงอยู่ในเลือด ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ HIV และอีโบลา และถึงแม้ว่าเราจะปรุงเนื้อจนสุก ความเสี่ยงนั้นก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด กรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับชาวเผ่าโฟเร (Fore) ที่ปาปัวนิวกินี ชาวเผ่านี้จะกินสมองและร่างกายของญาติที่เสียชีวิตเพราะถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งของเผ่า ทว่าธรรมเนียมนี้ต้องถูกยกเลิกไปหลังจากที่มีคนตายเป็นจำนวนมากในช่วงปี 1950 - 1960 จากโรคภาวะผิดปกติในระบบประสาทที่หาได้ยากที่ชื่อว่า Kuru  ซึ่งเป็นผลมาจากการกินสมองของคนที่มีเชื้อนี้

ในเนื้อสมองมีสิ่งที่เรียกว่า พรีออน Prion ซึ่งเป็นโปรตีนที่พับอย่างผิดปกติ (misfolded proteins) ซึ่งทำให้สมองของเรามีรูคล้ายกับรูในฟองน้ำ พรีออนสามารถทนความร้อนจากการปรุงอาหารได้ ทำให้สารพิษยังคงอยู่แม้จะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม

ในแง่ด้านกฎหมาย การกินเนื้อมนุษย์ยังมีความก้ำกึ่งบางอย่างที่ติดอยู่ในพื้นที่สีเทา การกินเนื้อมนุษย์ ด้วยตัวของมันเองถือว่าไม่ผิดกฎหมายในอเมริกาและอังกฤษ แต่อย่างว่า การจะหาเนื้อมนุษย์มาทานเป็นมื้อเย็นได้ แน่นอนว่าคุณจะต้องทำความผิดร้ายแรงอย่างการฆ่าหรือขโมยศพของผู้อื่น ซึ่งนั่นผิดกฎหมายแน่ๆ! เหตุผลเดียวที่คุณจะสามารถกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันได้โดยไม่ติดคุกนั่นก็คือ คุณต้องกินเนื้อตัวเอง (Autocannibalism) ซึ่งมีการทำจริงๆในทางการแพทย์ ตัวอย่างก็คือ Placentophagy หรือการทานรกของตัวเองในผู้หญิงเพื่อฟื้นฟูสุขภาพหลังจากคลอดลูกซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยเพิ่มพลังงานและลดโอกาสที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดด้วยการทำให้ระดับฮอร์โมนของคุณแม่คงที่ อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถรับรองได้ว่าวิธีการโบราณชนิดนี้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างที่คิดหรือไม่

วิธีทางการแพทย์สุดประหลาดนี้โด่งดังมากในแวดวงดาราฮอลลีวูด เซเลบอย่างคิม เคร์ดาเชี่ยนและอลิเซีย ซิลเวอร์สโตนออกมายอมรับว่าพวกเธอได้ใช้วิธีโบราณนี้เพื่อฟื้นฟูร่างกาย นอกจากนั้น ยังมีบริษัทมากมายในอเมริกาที่ให้บริการบดรกของคุณแม่ให้เป็นผงก่อนจะบรรจุในแคพซูลยาเพื่อใช้ทานบำรุงร่างกายแบบเดียวกับวิตามิน อย่างไรก็ตาม CDC (Centers for Disease Control) หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อของอเมริกาได้ออกมาเตือนว่า แม้จะมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ การรักษาวิธีนี้ก็อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะมันอาจส่งต่อแบคทีเรียที่อันตรายจากแม่ไปสู่ลูกได้

ถ้าใครชอบทานเนื้อ ขอบอกเลยว่าเนื้อหมูนี่แหละเป็นอะไรที่ปลอดภัยกว่าเยอะ แถมรสชาติยังเหมือนเนื้อมนุษย์อีกต่างหาก อ้างอิงจาก เอ่อ…ฆาตกรโรคจิตน่ะนะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook