10 เกมแนว Open World แห่งยุคที่คุณไม่ควรพลาด

10 เกมแนว Open World แห่งยุคที่คุณไม่ควรพลาด

10 เกมแนว Open World แห่งยุคที่คุณไม่ควรพลาด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนึ่ง ในฉากที่ตื่นเต้นของวิดิโอเกมก็คือ การที่เราได้ก้าวเท้าเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการของเราเอง ที่ที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ สามรถเดินทางไปไหนก็ได้ในนั้น อย่างเช่นสถานที่ในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่จะเป็นดินแดนที่แปลกประหลาดก็ตาม เกม Open World เป็นเกมที่มีมาทุกยุคทุกสมัย 10 เกมต่อไปนี้เป็นเกม Open World ที่วางจำหน่ายใน Generation ที่แล้ว โดยเราจะโฟกัสไปที่โลกภายในเกมและอิสระในการทำสิ่งต่างๆที่ผู้พัฒนามอบให้ คุณ ใครมีเกมไหนเพิ่มเติมก็คอมเม้นมาบอกเล่ากันได้นะครับ

Red Dead Redemption

สิ่งที่ทำให้ Red Dead Redemption โดดเด่นก็คือการใช้ธีมของคาวบอยในดินแดนฝั่งตะวันตก มีการปล้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเมืองและบนถนนเปลี่ยว ผู้บริสุทธิ์มักจะถูกลักพาตัวไปเพื่อเรียกค่าไถ่.. หรือทำอะไรที่แย่กว่านั้น และก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเป็นฮีโร่ช่วยพวกเขาหรือไม่ เมื่อเราเข้าไปในบาร์ก็จะได้ใช้เวลาส่วนตัวไปกับการดื่ม ดนตรี และการพนันเล็กๆน้อยๆ จิตวิญญาณของการแข่งขันจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อเราจับปืนมาดวลกับคาวบอยคน อื่นๆ จะมีอะไรให้เราทำมากมายหลังจากที่เราขึ้นบนหลังม้าและควบมันไปในทะเลทรายอัน แห้งแล้งแห่งนี้ ใครที่ชื่นชอบหนังยุคเก่าอย่าง The Good, The Bad and The Ugly แล้วล่ะก็ เกมนี้ก็ห้ามพลาดเช่นกัน

Sleeping Dogs

จากตึกสูงสู่ป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ข้างถนน เมืองที่มีชีวิตชีวาและไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าคุณกำลังจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดหรือเพียงแค่สำรวจวัดอันเงียบสงบ Sleeping Dogs ได้แสดงให้เห็นทั้งความสวยงามและความน่าเกลียดของฮ่องกง เมืองที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและพ่อค้าที่หายใจทิ้งไปวันๆ ก็ช่วยทำให้สภาพของเมืองดูโดดเด่นขึ้น เรื่องราวเข้มข้นระหว่างแก็งอันธพาล ฉากแอ็คชั่นราวกับดูหนังฮ่องกงสมัยก่อน Sleeping Dogs นั้นคือเมืองฮ่องกงที่อยู่เพียงปลายนิ้วของคุณ ปล่อยให้ตัวเกมดูดวิญญาณเราไปและดื่มด่ำไปกับมันกันเถอะ

The Elder Scrolls V: Skyrim

ดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บ้านเกิดของชาว Nord ที่มีชื่อว่า Skyrim นั้น เป็นดินแดนที่มีความแปลกใหม่มากมาย อย่างเช่นภาษามังกรและยักษ์ที่สามารถส่งเราขึ้นไปบนฟ้าได้ Skyrim มีประวัติความเป็นมามากมายรอให้เราไปค้นหา เป็นดั่งกล่องสมบัติที่รอผู้เล่นไปเปิด เรายังสามารถสร้างบ้านและแต่งงานได้อีกด้วย มีน้อยเกมที่จะดูดเวลาผู้เล่นได้หลายร้อยชั่วโมงเช่นนี้ และสิ่งสุดท้ายเลยที่ขาดไม่ได้ นั้นคือสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า Mod นั้นเอง

Assassin’s Creed II

ในซีรี่ย์ Assassin’s Creed ได้นำพาเราไปหลายประเทศหลากสถานที่มากๆ แต่จะมีอะไรเทียบได้กับตอนที่เราเหยียบเท้าลงที่อิตาลีได้หล่ะ? สถาปัตยกรรมอันงดงามสุดตระการตา ได้ปีนป่ายหลังคาและหอคอยสูง โดยผ่านเมืองเลื่องชื่ออย่าง เวนิส โรม และฟลอเรนซ์ ความสวยงามของเมืองที่ดูขัดแย้งกับความรุนแรงที่ Ezio ทำลงไป การสำรวจพื้นที่และสถานที่สำคัญต่างๆก็เป็นส่วนหนึ่งของเกม แต่งานหลักของเราคือการรับบทนักฆ่า การที่ได้สังหารผู้คนในสถานที่เหล่านี้คงจะเพิ่มสีสันให้กับอิตาลีไม่น้อย

Saints Row: The Third

ความมีชีวิตชีวาใน Steelport เป็นเหมือนกับการที่เอาเมือง New York กับ Las Vegas มารวมกัน แต่มันก็เป็นตัวของมันเองโดยจะมีเรื่องไร้สาระเกิดขึ้นระหว่างการผจญภัยของ คุณ จะมีเกมไหนบ้างที่มีดิลโด้สีม่วงขนาดยักษ์ไว้ฟาดหัวคนอื่น แม้แต่จะแก้ผ้าวิ่งไปวิ่งมาให้คนอื่นดู กระทั่งขับรถ ATV ที่มีไฟลุกท่วมทั้งคัน (ซอมบี้กับเอเลี่ยนก็มีนะ) แต่นั่นก็เป็นเพียงผิวๆของชีวิตประจำวันใน Steelport เท่านั้น การที่มาอาศัยในเมืองนี้ก็เหมือนกับได้มาอยู่ในภาพยนต์หรือละครตลกเรื่อง หนึ่งเลยทีเดียว

Grand Theft Auto V

Grand Theft Auto V ได้ใช้แคลิฟอร์เนียตอนใต้เป็นฉากหลังเพื่อนำเสนอและล้อเลียนวัฒนธรรมของคน อเมริกันไปพร้อมๆกัน การจัดวางสถานที่และการสร้างกิจวัตรของผู้คนภายในเกมทำออกมาได้อย่างคงตัว ทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังเข้าไปอยู่ในแคลิฟอร์เนียจริงๆ สถานที่สำคัญอย่าง LAX airport ก็ได้ออกแบบมาอย่างละเอียดราวกับยกสถานที่ของจริงมาเลยทีเดียว ทำภารกิจหลักนั้นสามาารถฆ่าเวลาไปได้หลายชั่วโมงแล้ว แต่ตัวเกมก็ได้มอบกิจกรรมเสริมให้อีกเพียบ อย่างเช่น ได้เป็นคนขับรถพ่วง เล่นปาลูกดอก หรือแม้แต่จะเล่นหุ้นก็ทำได้ (เสียดายภาคนี้ไม่มีโบว์ลิ่ง) แถมยังมีโหมดออนไลน์ที่ให้เราไปวิ่งเกรียนคนอื่นได้อีก ถือว่าเป็นเกม open world ที่เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีเกมแนวนี้มา รวมถึงรายได้มหาศาลจากการขายเกมอีกด้วย

Mafia II

Mafia II จะส่งเราไปที่เมือง Empire Bay เมืองที่ถูกสมมติขึ้นโดยมีต้นแบบมาจากนิวยอร์กหรือไม่ก็ชิคาโก ย้อนเวลาไปช่วงยุค 40 ถึง 50 การที่อพยพมาอาศัยอยู่ในชุมชนอิตาลีเล็กๆในเมือง Empire Bay นั้นอาจจะมีความหวังรออยู่ แต่ก็ลงเอยด้วยหนทางที่ยากลำบากในการเลี้ยงดูครอบครัว การทำงานให้กับมาเฟียเพียงเพราะต้องการหาเงินเท่านั้น ตัวเกมไม่ได้ออกแบบมาให้เราไปเดินเล่น แต่จะมุ่งเน้นในทางเนื้อเรื่องแทน การที่เดินไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาเกี่ยวกับสงครามในช่วงเวลานั้น รถสีสันฉูดฉาด หรือแม้แต่พวกเหยียดผิวสีก็ตาม Mafia II ได้ใช้ตัวเมืองและช่วงเวลาได้อย่างลงตัว

Just Cause 2

Just Cause 2 จะเป็นอะไรไม่ได้อีกเลยนอกจากแก่นแท้ของการทำลายล้างและความบ้าบิ่น โดดขึ้นไปบนฟ้า ปาระเบิดลงมา โดดไปเกาะที่เครื่องบินลำหนึ่ง แล้วยิงจรวดใส่เครื่องบินอีกลำหนึ่ง จากนั้นก็ลงมาด้านล่างโดยร่มชูชีพคู่ใจ เดินออกมาแบบพระเอก ปล่อยให้ทุกอย่างระเบิดเป็นจุลอยู่ด้านหลัง หากจะหาคำใดมาเปรียบก็คงต้องเป็นประโยคที่บอกว่า ‘ระเบิดภูเขา เผากระท่อม’ คงจะเหมาะกับเกมนี้ที่สุดแล้วล่ะ

Far Cry 3

Far Cry 3 จะส่งเราไปผจญภัยแถวๆแปซิฟิกตอนใต้ใกล้ๆบ้านเรา(ไม่สิ มันมากรุงเทพฯด้วยซ้ำ) หลังจากวันหยุดพักร้อนสุดสบายได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นว่าเราต้องเอาตัวรอดจากพวกโจรสลัดในเกาะสุดห่างไกล ตัวเกมได้ให้อิสระกับเรามากทีเดียว เราสามารถเลือกได้ว่าจะปะฉะดะซึ่งๆหน้ากับศัตรูหรือจะแค่ย่องผ่านไป และยังมีกิจกรรมหลายๆอย่างให้ทำ อย่างเช่น การล่าสัตว์ แข่งรถ หาของสะสมตามฉาก หรือแม้แต่จะหยิบปืนขึ้นมายิงนู้นนี้นั้น ตัวเกาะมีความลับซ่อนอยู่มากมาย โบราณสถาน เรืออับปางและสมบัติใต้ทะเล แล้วคุณจะไม่ลืมความประทับใจครั้งแรกกับพี่ฉลามและมังกรโคโมโดเป็นแน่

Fallout 3

การเดินสำรวจโลกหลังสงครามนิวเคลียร์คงจะน่าเบื่อไม่น้อย แต่ Bethesda ได้แหวกแนวเกมภาคก่อนๆของซีรี่ย์ในภาค 3 การที่เดินออกมาจาก Vault 101 เป็นครั้งแรกและได้เห็นดินแดนว่างเปล่าเหล่านั้น ทำให้เกิดความสิ้นหวังและความอยากรู้อยากเห็นไปพร้อมๆกัน ช่วงเวลาที่สุดแสนจะประทับใจและหนักใจใน Fallout 3 คือการเลือกทางเลือกของคำตอบ การที่ได้วิ่งไล่ยิงสัตว์กลายพันธุ์พร้อมกับหมาของเราในโลกอันว่างเปล่าก็ สามารถดูดเวลาของผู้เล่นได้ไม่น้อย

จบกันไปแล้วกับ 10 สุดยอดเกม open world ที่อยากจะให้เหล่าเกมเมอร์ได้ลองสัมผัสกัน ว่าแต่หนึ่งใน 10 นี้มีเกมไหนเป็นเกมในดวงใจผู้อ่านบ้างครับ?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook