วิธีเทสเครื่องสำอาง เทสยังไงไม่ให้หน้าพัง ห้ามพลาด !

ก่อนจะตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางสักชิ้น เราก็ต้องเทสก่อนจริงไหมคะสาวๆ เพื่อความมั่นใจว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นเหมาะกับผิวของเราหรือเปล่า และจะทำให้เกิดการแพ้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม การเทสเครื่องสำอางก็ต้องใช้ความระมัดระวังเช่นกัน เพราะเพียงแค่เทสก็อาจทำให้หน้าพังโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราก็ได้รวบรวมทริคง่ายๆ ในการทดสอบเครื่องสำอางมาฝากกันด้วย รับรองว่าทดสอบแบบนี้หน้าไม่พังแน่นอน

การเทสลิปสติก

การเทสลิปสติก ควรใช้แปรงทาปากแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคจากคนที่ใช้ก่อนหน้า และที่สำคัญควรแต้มลิปสติกบริเวณคอลิปมากกว่า เพราะเป็นจุดที่มีคนสัมผัสน้อยที่สุด ซึ่งเมื่อเทสเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เช็ดทำความสะอาดด้วยกระดาษเช็ดเครื่องสำอางแบบฆ่าเชื้อโรคให้หมดจด อย่าปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาดไม่ว่าสีสันของมันจะสวยมากแค่ไหนก็ตาม

การเทสเครื่องสำอางเนื้อครีม

ในกรณีที่เป็นเครื่องสำอางเนื้อครีม แนะนำให้เลือกเทสเฉพาะเครื่องสำอางที่มีไม้พายสำหรับตักเนื้อครีมเท่านั้น เพราะจะมีความเสี่ยงเชื้อโรคน้อยที่สุด และควรเทสด้วยการป้ายเนื้อครีมบริเวณท้องแขนด้านในมากกว่าการทดลองกับผิวหน้าโดยตรง เนื่องจากอาจเกิดการแพ้ได้นั่นเอง

การเทสดินสอเขียนขอบปากและขอบตา

สำหรับดินสอเขียนขอบปากและขอบตา ก่อนเทส ควรขอให้พนักงานเหลาดินสอใหม่ เพราะปลายดินสออาจมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ ซึ่งอาจเสี่ยงหน้าพังได้ โดยหากพนักงานไม่ยอมเหลา แนะนำให้เปลี่ยนร้านใหม่ไปเลยดีกว่า

ข้อควรจำ! ในการเทสเครื่องสำอาง

เพราะเครื่องสำอางตามร้านที่วางไว้ให้ลูกค้าสามารถเทสก่อนตัดสินใจซื้อได้นั้น ล้วนมีผู้มาเทสเป็นจำนวนไม่น้อย จึงมีโอกาสที่เครื่องสำอางจะปนเปื้อนไปด้วยเชื้อโรคมากที่สุด ดังนั้นจึงต้องทดสอบเครื่องสำอางด้วยความระมัดระวังเสมอ โดยกฎเหล็กของการเทสที่ควรจำก็คือ

• อย่าใช้เครื่องสำอางกับใบหน้า ถ้าไม่จำเป็น
• ขอให้พนักงานฆ่าเชื้อบนอุปกรณ์แต่งหน้าที่มีไว้สำหรับเทสทุกครั้งก่อนลอง หรืออาจถามดูว่ามีแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือไม่
• อย่าเทสเพื่อเช็คสีของเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ให้เทสต์เพื่อทดสอบการแพ้ด้วย
• จุดที่เหมาะกับการเทสมากที่สุด คือบริเวณท้องแขน

ไม่ยากเลยใช่ไหม กับการเทสเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย ที่มั่นใจได้เลยว่าจะไม่ทำให้หน้าพังแน่นอน เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่ชอบช้อปเครื่องสำอางบ่อยๆ อย่ามองข้ามเทคนิคเหล่านี้เด็ดขาด เพราะครั้งนี้คุณอาจโชคดีที่ทดสอบแล้วไม่เกิดผลข้างเคียง แต่ครั้งต่อไปคุณอาจไม่โชคดีก็ได้ ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่าจริงไหม