ชีวิตขาดหวานไม่ได้ ก็ลดมันแบบหวานๆ นี่แหละ! น้ำหนักเกือบ 100 ลดเหลือ 58 (มีสูตร)

ชีวิตขาดหวานไม่ได้ ก็ลดมันแบบหวานๆ นี่แหละ! น้ำหนักเกือบ 100 ลดเหลือ 58 (มีสูตร)

ชีวิตขาดหวานไม่ได้ ก็ลดมันแบบหวานๆ นี่แหละ! น้ำหนักเกือบ 100 ลดเหลือ 58  (มีสูตร)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

        เราขอแวะมาแบ่งปันประสบการณ์การลดน้ำหนักให้เพื่อนๆ ได้เป็นอีกหนึ่งแนวทางนำไปปรับใช้กันนะคะ ก่อนหน้าเราเคยมีน้ำหนักตัวมากสุด 90 กิโลกรัม ตอนนี้ลดเหลือ 58 กิโลแล้ว แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 48  กิโล

        เราบอกก่อนนะคะว่าวิธีที่เราใช้อาจจะไม่ได้ถูกต้องตามหลักโภชนาการอะไร แต่มันเป็นวิธีที่เราทำแล้วเห็นผลในแบบที่เราเองก็ไม่คิดว่าจะลดลงได้จริง ทำให้ไม่ได้เก็บภาพแต่ละช่วงที่น้ำหนักลงและไม่ได้จดอะไรไว้เลย ต้องมานั่งนึกและเขียนใหม่ แถมตอนนี้สุขภาพของเรายังแข็งแรงมากกว่าเดิมอีกด้วย

*เราเห็นรูปนี้ในตอนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงรับสภาพในตอนนั้นของเราไม่ได้ แถมสิวยังขึ้นเต็มหน้าอีก

        เราก็เป็นอีกคนที่ล้มเหลวกับการลดความอ้วนมาโดยตลอด พยายามลดด้วยตัวเองก่อน พอรู้สึกท้อไม่ไหวก็จะพึ่งทางลัดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาหารเสริม ใครว่าตัวไหนดีก็จัดค่ะ ช่วงที่กินมันลงก็จริงนะแต่พอหยุดกินยามันโยโย่ขึ้นทันทีเลย กินข้าวแค่จานเดียวไม่อิ่มต้องเพิ่มตลอด แล้วน้ำหนักตัวก็เด้งขึ้นเป็น 10ๆ กิโล  

        พออ้วนขึ้นก็ใช้วิธีเดิมๆ จนร่างพัง ระบบการเผาผลาญเสีย แล้วครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อนที่ได้ทานยาคือเหมือนใกล้จะตายค่ะ สมองเบลอ การตอบสนองช้ามาก จิตตก อารมณ์เหวี่ยง หงุดหงิดตลอดทั้งวัน แล้วก็ไม่มีแรง แค่เดินขึ้นบันไดชั้น 2 ก็แทบคลานแล้วค่ะ ตอนนั้นกินไปแค่ 2 ชุดต้องหยุดเลยมันไม่ไหวจริงๆ คิดในใจ (ฉันคงแก่แล้วจริงๆ เมื่อก่อนกินยาพวกนี้ได้สบายมาก 555)

         หลังจากหยุดยาก็งานเข้าเลยค่ะ ทุกอย่างอร่อยหมด อยากกินอะไรก็กิน บุฟเฟ่ต์ ชาบูตลอด พิซซ่านี่ของโปรด ขนมไทย ไอติม เบเกอรี่ ขนมเค้กเรานี่ก็กินคนเดียวเป็นปอนด์ๆ เลยนะ แถมมีนิสัยหวงของกินด้วย ก่อนหน้าไม่เคยเป็นแบบนี้แต่ไม่รู้มันมาได้ไง ของๆ ฉันใครห้ามกิน! 555

         คือตอนนั้นมีความสุขกับการกินมาก เพราะเราสายแข็งเป็นหมูสตรองที่ไม่มีโรคภัยอะไร 555 คือกินแล้วมีความสุขก็กินไป อ้วนแล้วทำไมก็มีความสุขอ่ะ (ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ) แล้วช่วงนั้นเรียนทำอาหารด้วย ร้อนวิชาค่ะ อยากกินอะไรก็ทำกินเอง ฝีมือเราอร่อยที่สุดซินะ 555 แล้วน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่หยุดยั้ง

         ระหว่างนั้นก็พยายามลดตลอดเวลานะ ไปอ่านเจอว่าให้แบ่งอาหารออกเป็นวันละ 5 มื้อย่อยๆ มาแนวสายคลีน เราก็คลีนตามอยู่ช่วงนึงแต่พักหลังๆมันไม่ย่อยแล้วอ่ะซิ หมูสตรองแบบเราก็กลายเป็น 5 มื้อหลักแถมบางมื้อก็กิน 2 รอบ แล้วตามด้วยของหวานอีก 555

         เรียกว่ากินตลอดทั้งวันจริงๆ และบางวันก็คลีนแตก จนวันนึงแม่รับสภาพเราไม่ได้ ขอคุยแบบจริงจัง ทำให้เรารู้ว่าแม่เครียดเรื่องที่เราอ้วนมากขนาดไหน ก็เลยตัดสินใจฮึดสู้เพื่อแม่ด้วยตัวเองอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ทานยาลดความอ้วน หรืออาหารเสริมลดน้ำหนักใดๆทั้งสิ้น ถ้าแม่ไม่เปิดใจคุยในวันนั้น วันนี้เราอาจจะเป็นหมูสตรองที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 120 กิโลไปแล้วก็ได้ 555...

 

 *ก่อนลดน้ำหนักในท้องนั่นแฝด 4 สินะ 555...คือร่างพังมาก รอบเอวประมาณ 42-43 ค่ะ

       หลังจากตั้งใจว่าครั้งนี้จะทำเพื่อแม่อย่างจริงจังแล้ว เราก็ตั้งเป้าหมายเลยค่ะว่าจะลดให้เหลือ 48 กิโล และครั้งนี้ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ส่วนตัวเราขาดหวานไม่ได้ ก่อนหน้าเราลองมาหลายวิธีที่เขาแชร์ๆ กันมาแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวทุกครั้งเพราะ ไม่ได้กินของหวานเลย ทำได้ไม่กี่วันก็ตะบะแตกกลับมากินหนักกว่าเดิม เราก็เลยขอลองวิธีของเราเองคือไม่อดหวานแต่ลดปริมาณอาหารคาวลง เราขอแบ่งออกเป็น 4 ช่วงของการลดน้ำหนักในครั้งนี้นะคะ

ช่วงที่ 1 จากน้ำหนัก 90 กิโล ลดลงมาเหลือ 75 กิโล.....เป็นช่วงที่ยังมีความสุขกับการกินอยู่ค่ะ กินตลอดทั้งวันเหมือนเดิม เราติดขนมหวานมาตั้งแต่เด็กๆ  ที่บ้านก็เป็นกันทุกคน คืออิ่มอาหารคาวแล้วต้องมีของหวานตามตลอด แต่ครั้งนี้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ โดยลดปริมาณอาหารคาวลงและเน้น ผักผลไม้มากขึ้น (เมื่อก่อนเราไม่กินผักผลไม้เลย)

        จากที่กินแต่พวกแกงกะทิ ของมันของทอด ขาหมู ขนมไทย เบเกอรี่ ขนมเค้ก ขนมซองก๊อบแก๊บ ตอนเย็นนี่บุฟเฟ่ต์ตลอด อาหารพวกนี้ตัดทิ้งไปเลย หักดิบไม่แตะเลยค่ะ เปลี่ยนมาเป็น มื้อเช้าสุกี้ทำเองเน้นผักแค่ 1 ถ้วยกลาง น้ำเยอะๆ (แค่เนี้ยะ...จะอิ่มได้ไง ใช่ไหม?)555  ใช่ค่ะมันไม่อยู่ท้องหมูสตรองแบบเราแน่ๆ  ผ่านไปไม่กี่นาที ท้องร้องแล้วค่ะ ระหว่างมื้อก็จะกินแตงโมแช่เย็น ถ้าก่อนเที่ยงถ้ายังหิวอยู่อีก ขมปากขมคออยากกินขนมหวาน  *Trick วิธีนี้เราใช้ได้ผลมากๆ คือไปแปรงฟันค่ะ  

        ใช้ ยาสีฟันดาร์ลี่สูตรกรีนที เลม่อนมิ้นต์ หรือสตอเบอร์รี่ของเด็กซื้อติดไว้เลยค่ะ อร่อย!!! 555 มันช่วยได้จริงๆนะ แปรงฟันไปอร่อยไป แค่ได้กลิ่นและรสหวานนิดๆ ก็ฟินแล้วค่ะ 555 แปรงลิ้นด้วยนะคะ ระหว่างที่เรายืนแปรงฟันมันทำให้เรามีสติมากขึ้น นึกได้ว่าเรากำลังลดความอ้วนอยู่นะ เตือนตัวเองว่าต้องอดทนและเอาชนะใจตัวเองให้ได้ สู้เพื่อแม่ สู้เพื่อแม่ ท่องอยู่แบบนี้ทุกวัน 555

        หลังจากแปรงฟันเสร็จดื่มน้ำเย็นตาม 1-2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราดื่มน้ำเปล่าแบบเย็นจัดตลอดทั้งวันนะคะ (เราเคยอ่านเจอข้อมูลนี้นานแล้วค่ะ มีคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่าการดื่มน้ำเย็นจัดจะทำให้ร่างกายเราใช้พลังงานมาก ขึ้นเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำให้เข้ากับอุณหภูมิในร่างกาย) เราก็จำมาตลอดว่าน้ำเย็นช่วยลดความอ้วนได้ 555

        แต่คุณหมอส่วนใหญ่จะไม่แนะนำวิธีนี้นะคะ แล้วเราได้ดูรายการ Good Shape Save Cost ของคุณจอห์น วิญญู แต่จำ Ep. ไม่ได้แล้ว เขาแนะนำให้ดื่มน้ำเย็นจัดเหมือนที่เราเคยอ่านเจอ ก็เลยทำตามค่ะ พอหิวก็ดื่มน้ำเย็นจัดมันช่วยลดความยากได้จริงๆนะ (โชคดีที่เราไม่ติดชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม)  

        มื้อเที่ยงก็สุกี้เหมือนเดิมค่ะ ตกบ่ายหิวหวานก็จะกินแตงโมหรือไม่ก็พวกน้ำเต้าหู้ หรือเต้าฮวยนมสด ถ้าก่อนมื้อเย็นหิวอีกก็แปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ มื้อเย็นจะเป็นสลัดผัก น้ำสลัดก็ใส่ตามที่เขาให้มาเลยค่ะ ยังไงก็ไม่อ้วนไปมากกว่าข้าว 5 มื้อที่เรากินก่อนหน้าแน่นอน หลังจากนั้นเราจะปั่นน้ำผักผลไม้ไว้กินก่อนนอน

       ช่วงนี้เราออกกำลังกายแค่หมุนจานทวิชเพราะน้ำหนักตัวเยอะออกไม่ไหวจริงๆ หัวเข่าไม่ค่อยดีด้วยค่ะ วันที่ 2 ก็เหมือนเดิม พอวันที่ 3 เริ่มหิวโหยมีความยากกินข้าวก็กินเลยค่ะ ถ้าเราไม่กินข้าวเลยตะบะต้องแตกแน่ๆ แล้วจะกินหนักยิ่งกว่าเดิม แต่กับข้าวจะเน้นพวกแกงจืด แกงส้มผักรวม น้ำพริกไข่ต้ม ผักต้ม เนื้อไก่ และปลาค่ะ

       ระหว่างมื้อก็มีขนมหวานตามไปบ้าง ถ้ายังอยากกินอีกก็ไปแปรงฟันแล้วดี่มน้ำตามค่ะ กลางวันก็ส้มตำ ไก่ย่าง 5 ดาว หิวหวานระหว่างมื้อก็ผลไม้ที่มีรสหวานแช่เย็นค่ะ ตกเย็นก็สลัดผักเหมือนเดิมตามด้วยเต้าฮวยนมสด ก่อนนอนดื่มน้ำผักผลไม้ปั่น 1 แก้วค่ะ วันที่ 4กับ5 กลับมากินสุกี้เหมือนเดิม คือเราจะวนไปแบบนี้

ส้มตำเราทำเองทุกมื้อค่ะ รับประกันความสดใหม่สะอาด

เราขอสรุปคร่าวๆในแต่ละมื้อแบบนี้นะคะ ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อ กินสลับกันไปค่ะ (ใน 1 อาทิตย์จะกินข้าวแค่ 2-3 วัน วันละ 1 มื้อเท่านั้นนะคะ เช่นวันนี้มื้อเช้ากินข้าวแล้วอีก 2 วันข้างหน้าจะไม่กินค่ะ)
มื้อเช้า – ข้าว /สุกี้ / โจ๊ก / ดีท๊อกซ์สูตรโยเกิร์ตกับนม
ระหว่างมื้อ – แตงโม / แอปเปิ้ลเขียว / แก้วมังกร / น้ำเต้าหู้ / เต้าฮวยนมสด / ทุกอย่างมีความหวาน 555
มื้อเที่ยง – ข้าว / สุกี้ / ส้มตำ-ไก่ย่าง / บะหมี่เย็นตาโฟ / ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก
ระหว่างมื้อ - แตงโม / แอปเปิ้ลเขียว / แก้วมังกร / น้ำเต้าหู้ / เต้าฮวยนมสดมื้อเย็น – ข้าว / สลัดผัก  
ก่อนนอน – น้ำผักผลไม้ปั่น / นมเปรี้ยว /เต้าฮวยนมสด

ยกตัวอย่างนะคะ...
     เช้า-ข้าว/ระหว่างมื้อ-แตงโม/เที่ยง-ส้มตำ-ไก่ย่าง/ระหว่างมื้อ-แอปเปิ้ล เขียว/เย็น-สลัดผัก/ก่อนนอน-เต้าฮวยนมสด / วันที่ 1 กินข้าวแล้วจะกินข้าวได้อีกครั้งคือวันที่ 4 ค่ะ มันอาจจะทรมานในช่วงแรกๆแต่สักพักร่างกายเราจะเริ่มชินค่ะ...เวลาออกไปข้าง นอกเห็นอาหารละลานตาก็ห้ามหวั่นไหวเด็ดขาดค่ะ ช่วงนั้นเวลาเราจะกินอะไร หน้าของแม่จะลอยขึ้นมาทันที

ต้องอดทนค่ะ สู้เพื่อแม่ ท่องไว้ 555…และเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามทำให้แม่ผิดหวัง...

 

เป็นสูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์...เราเห็นเขาแชร์กันมา สูตรนี้เป็นสูตรต้านมะเร็งด้วยนะคะ ก็เลยนำมาปั่นกินบ้างเพื่อสุขภาพค่ะ
1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน เรากินก่อนนอน 1 แก้วค่ะ

ปล.
-ตลอดทั้งวันจะดื่มน้ำเปล่าเยอะมากๆ ค่ะ
-ผลไม้เราจะเน้นแตงโมแช่เย็นเป็นหลัก เพราะมันหวานกินแล้วชื่นใจค่ะ
-เราใส่ชุดสเตย์และใช้แผ่นรัดหน้าท้องทุกวัน (อึดอัดมากแต่ต้องอดทนค่ะ)
-ช่วงนี้เราออกกำลังกายแค่หมุนจานทวิสก่อนนอนเท่านั้น (เราไม่ชอบการออกกำลังกายเลยสักนิด แต่ก็ต้องอดทนค่ะ)

 มื้อกลางวัน กินสลับวันกันไปค่ะ

 

ช่วงที่ 2 จากน้ำหนัก 75 กิโล ลดลงมาเหลือ 64 กิโล…..เป็นช่วงที่เราก็เริ่มออกวิ่งค่ะ เพราะตัวเริ่มเบาขึ้นแล้ว เริ่มจาก 1 รอบสนามกีฬาก่อน แล้วเพิ่มรอบขึ้นทุกวันจนสามารถวิ่งได้วันละ 7-8 รอบ วิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไป ถ้าวันไหนไม่ได้ไปวิ่งก็จะเปิดเพลงแล้วเต้น เริ่มซิทอัพ หมุนจานทวิส ถือดัมเบลเหวี่ยงแขนซ้ายขวาไปมา 100 รอบต่อเซต

      และช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่กินอาหารระหว่างมื้อและเริ่มกลับมากินพวกเบเกอรี่ และของทอดบ้างนิดหน่อย (นิดหน่อยเท่านั้นนะคะ ไม่ใช่ทุกมื้อทุกวัน) ช่วงนี้เราจะค่อยๆ แทรกพวกอาหารที่ตัดทิ้งไปก่อนหน้าเข้ามาอีกครั้งเพื่อป้อง กันตะบะแตกค่ะ และเพื่อเป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่เราทำได้ มันคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามอบให้กับตัวเองค่ะ

       เราขอสรุปคร่าวๆ ในแต่ละมื้อแบบนี้นะคะ ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อเหมือนเดิมค่ะ กินสลับกันไปไม่ซ้ำกันในแต่ละมื้อ (และใน 1 อาทิตย์จะกินข้าวแค่ 2-3 วัน วันละ 1 มื้อเท่านั้นเหมือนเดิม) กับข้าวจะเน้นพวกแกงจืด แกงส้มผักรวม น้ำพริกไข่ต้ม ผักต้ม เนื้อไก่ และปลาค่ะ
มื้อเช้า – ฟักทองนึ่ง / แครอทนึ่ง / น้ำผักผลไม้ปั่น / ดีท๊อกซ์สูตรโยเกิร์ตกับนม / ตบท้ายด้วยผลไม้ที่มีรสหวานค่ะ
ระหว่างมื้อ – ถ้าหิวจะแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ
มื้อกลางวัน – ไก่ย่าง 5 ดาว / ส้มตำ / ข้าวโพดเหลืองหวาน 1 ฟัก / ตบท้ายด้วยผลไม้ที่มีรสหวานค่ะ
ระหว่างมื้อ – ถ้าหิวจะแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ
มื้อเย็น – สลัดผัก / ฟักทองนึ่ง / ข้าวโพดเหลืองหวาน 1 ฟัก/ เต้าฮวยนมสด / สาคูแคนตาลูป / เบเกอรี่ / ไก่ย่าง 5 ดาว

        ยกตัวอย่างนะคะ เช้า-น้ำผักผลไม้ปั่น/ กลางวัน-ข้าวโพดเหลือง / เย็น-เต้าฮวยนมสด...มีความหวานตลอดทั้งวันซินะ 555 คือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อสลับกันไปค่ะ

         ช่วงที่ 1-2 เราใช้เวลาในการลดน้ำหนัก 5 เดือนกว่าๆ ค่ะ น้ำหนักหายไป 26 กิโล เราชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งเท่านั้นค่ะ มันมีความสุขมากนะที่ได้เห็นน้ำหนักตัวเองลดลงอาทิตย์ละ 1-2 กิโล จำได้ว่าเดือนแรกที่ทำน้ำหนักลดลงไป 6 กิโลค่ะ ดีใจมากๆ

          เราทำได้แล้วและมันก็เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ทุกเดือน คือมันลดลงเรื่อยๆ ทำให้เรามีความหวังและมีกำลังใจมากขึ้น เราเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าหาข้ออ้างให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ความพยายามและความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเราจะผ่านมาได้ แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายามของเราค่ะ ส่วนระบบขับถ่ายเป็นปกติค่ะเพราะเราทานผักผลไม้มากขึ้นกว่าเดิม..

ช่วงที่ 3 จากน้ำหนัก 64 ลดลงเหลือ 60 และเพิ่มเป็น 65….. ช่วงนี้ก็กินอาหารตามช่วงที่ 2 เลยค่ะ แต่พอทำน้ำหนักลดลงเหลือ 60 ก็เป็นช่วงที่กลับมาอยู่บ้าน 5  เดือนกว่าๆ ที่เกเร คือไม่ออกกำลังกายเลยและกินข้าวมื้อเย็นเพิ่มขึ้น กับข้าวและขนมฝีมือของแม่อร่อยที่สุดในโลกซินะ 555

         กินของมันของทอดและขนมเกือบทุกวัน ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเกือบ 5  กิโลในเวลา 5 เดือนกว่าๆ  เราบอกเพราะแม่เลยเนี่ย โยนความผิดให้นาง นางหัวเราะใหญ่ 555...เริ่มรู้สึกได้ถึงความอึดอัด พุงเริ่มออก เนื้อจากที่เคยแข็งเริ่มเหลว ทำให้ได้สติว่า เราจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้ว

          ที่ผ่านมาเราทำมาได้ดีตลอดแล้วนะ เตือนตัวเองว่าให้อดทนและพยายามอีกนิด เรามาเกินครึ่งทางแล้วต้องสู้ต่อไป ถ้าเฉลี่ยน้ำหนักจะขึ้นมาเดือนละไม่ถึงกิโล แสดงว่ามันไม่ได้โยโย่มากเท่ากับตอนกินยาลด ตอนนั้นพอหยุดยาน้ำหนักเราเด้งขึ้นมาเดือนละ 4-5 โล แต่ครั้งนี้เรายอมรับผิดค่ะ เพราะเราเกเรเอง เราไม่ได้คุมอาหารและไม่ได้ออกกำลังกาย ก็เริ่มจริงจังใหม่อีกครั้งค่ะ

รูปนี้น้ำหนัก 65 ค่ะ

ช่วงที่ 4 เริ่มใหม่อีกครั้ง จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไปเป็น 65.....ครั้งนี้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์จริงๆ (ตอนอ้วนนี่กินไม่เลือก 555) ขนมหวานยังมีอยู่บ้างกรุบกริบแต่ขนมซองๆ  เลิกกินไปตั้งแต่ช่วงที่ 1 แล้วค่ะ พวกนั้นไม่มีประโยชน์ ให้พลังงานเยอะ ไม่อยู่ท้อง ที่สำคัญโซเดียมเยอะมากๆ

          ตอนนี้ทุกครั้งที่เราจะกินอะไร เราจะถามตัวเองก่อนว่ามันมีประโยชน์จริงๆไหม ถ้าไม่มีไม่กินเพราะเราเคยผ่านจุดที่คิดว่า “ก็มันอร่อยอ่ะ” อร่อยแล้วเป็นยังไงนึกถึงอดีตซิ...555 กว่าจะผ่านมันมาได้ต้องวิ่งกี่รอบสนาม ต้องกายบริหารกี่วัน ก่อนหน้าเราเคยเป็นสายคลีนอยู่ช่วงนึงแต่ครอบครัวเราไม่คลีนด้วย มันเลยกลายเป็นความยุ่งยากและสุดท้ายก็ล้มเหลวไปค่ะ

          อาหารทั้งหมดที่เรากินมาตั้งแต่ช่วงที่ลดน้ำหนักในครั้งนี้เป็นอาหารแบบ ง่ายๆที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม่ต้องไปห้างทุกวัน เพราะเราไม่ชอบความยุ่งยากค่ะ ถ้ามันยุ่งยากเกินไปมันจะกลายเป็นฝืนทำและสุดท้ายเราจะทำมันได้ไม่นาน

      ในช่วงที่ 4 เรากลับมาทานข้าวแบบปกติทุกวัน แต่ครั้งนี้เริ่มนับแคลลอรี่แบบจริงจัง จะกินอะไรดูแคลอรี่ก่อนเป็นอันดับแรกแล้วตามด้วยโซเดียม ลดปริมาณข้าวลงเหลือแค่ 1 ถ้วยเล็กต่อมื้อและเคี้ยวให้ช้าลง (จากในช่วงที่ 1-3 กินแบบเต็มจาน) หลังจากตื่นนอนจะดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว สักพักตามด้วยนมเปรี้ยวหรือไม่ก็นมงาดำ

          และก่อนมื้ออาหารเราจะดื่มน้ำ 1 แก้วทุกครั้ง ที่กลับมากินข้าวทุกวันเพื่อป้องกันตะบะแตกค่ะ และเป็นการปรับพฤติกรรมการกินใหม่อีกครั้งให้เหมาะกับตัวเราเองมากที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกฝืนและมีความสุขกับสิ่งที่เรากำลังทำ ขอแค่มีเราวินัย อดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปเองค่ะ.

         เรากลับมากินอาหารครบ 5 หมู่ มื้อเช้าบางวันเราก็ดีท๊อกซ์ด้วยโยเกิร์ตกับนม หรือไม่ก็กินพวกซีเรียลผลไม้อบแห้งใส่พวกตระกูลถั่ว อัลมอนด์กับโยเกิร์ต มื้อกลางวันกินข้าวส่วนกับข้าวก็ทุกอย่างที่แม่ทำ 555 แล้วตามด้วยผลไม้จะเป็นพวกมะละกอ สัปปะรด แตงโม แอปเปิ้ลสลับกันไป

         และยังดื่มน้ำผักผลไม้ปั่นอยู่เป็นบางวันค่ะ เพื่อให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและบำรุงผิวพรรณด้วยค่ะ ตอนนี้เราติดดื่มน้ำเปล่ามากๆค่ะ ดื่มทุกชม. และบางอาทิตย์ทำตามสูตรของคุณเบนซ์  พรชิตาค่ะ คือไข่ต้ม ผลไม้ โยเกิร์ต ทำแค่เดือนละสัปดาห์เท่านั้นค่ะ แล้วก็กลับมากินข้าวตามเดิม เหมือนร่างกายเริ่มชินกับการกินน้อยลงทำให้ช่วงนี้ไม่หิวไม่โหยของหวาน ระหว่างมื้อเลย

          ถ้าระหว่างวันยังรู้สึกขมปากขมคอจะไปแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ แต่เวลาที่ใกล้จะเป็นประจำเดือนจะทรมานหน่อยเพราะเราจะอยากกินของหวานมากๆ เราก็จะดื่มน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้วแทนค่ะ หรือไม่ก็เป็นไอติมรสชามะนาว 1 แท่ง กินได้ 1 อาทิตย์ วันละ 2 คำพอค่ะ

            หลังบ่าย 3 โมงจะไม่กินอะไรนอกจากดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น ตอนที่ทำแรกๆหลังออกกำลังกายเสร็จก่อนนอนท้องก็จะร้องจ๊อกๆ เป็นช่วงที่เรารู้สึกดีมากๆเพราะเรากำลังจะหน้าเด็กลง 555 (อ่านข้อมูลคุณหมอจากญี่ปุ่นบอกว่าปล่อยให้ท้องร้องจะทำให้หน้าเด็กลง) แต่พักหลังๆ ท้องเริ่มเงียบแล้วค่ะ ไม่ส่งเสียงเลย 555 คงเริ่มชินแล้ว..

         ช่วงที่ 4 หุ่นเฟิร์มแบบเห็นได้ชัดนะ เราสามารถกลับมาใส่เสื้อผ้าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วตอนที่หนัก 53 ได้ทั้งๆที่เราหนัก 59 กิโล ระหว่างวันทำงานบ้านเราก็เหวี่ยงแขนขาไปมา หมุนจานทวิส  ซิทอัพ ปั่นจักรยานบนอากาศ แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้วเนอะ

          ตั้งแต่ที่เราเริ่มจริงจังในการลดน้ำหนักครั้งนี้ เพื่อนๆ จะเห็นว่าเราไม่ได้เข้าฟิตเนสนะคะ เราออกเองที่บ้านหรือไม่ก็ไปวิ่งที่สนามกีฬา และพักหลังๆ เริ่มเน้นคาร์ดิโอบ้าง เวทบ้าง สลับกันไป เปิดยูทูปของ Fitness Blender แล้วทำตามค่ะ เพราะมันไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเสียเงินด้วย

            ตอนนี้เราติดการออกกำลังกายไปแล้ว รู้สึกดีทุกครั้งที่ออกกำลังกายเสร็จ เพราะเราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เราออกกำลังกายทุกวันยกเว้นช่วงที่เป็นประจำเดือนจะได้พัก 1 อาทิตย์ ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากและไม่โทรมด้วยค่ะ และควรปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้นด้วยเพื่อสร้างระบบการเผลาผลาญใหม่

          จากปกติเรานอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ช่วงนี้เรานอน 3-4 ทุ่มทุกคืน ตื่นตี 5 รู้สึกสดชื่นมากค่ะ ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 58 กิโล เนื้อกระชับขึ้นมากๆ แต่ก็ยังมีส่วนเกินที่จะต้องกำจัดออกไปโดยเฉพาะต้นแขน ช่วงบนเรายังดูบึกบึนอยู่ 555…. แม่เราบอกแค่ 55 กิโลก็พอแล้วเพราะเราเป็นคนโครงสร้างใหญ่ กระดูกใหญ่ ถ้า 48 เราจะเหลือแต่กระดูกเหมือนคนขาดสารอาหารทันที 555...

         บางทีน้ำหนักก็ไม่ใช่ตัวกำหนดของคำว่าหุ่นดี ใช่ไหมคะ? แต่ก็จะสู้ต่อไปค่ะเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราหลงรักตัวเองมากขึ้น เพราะความพยายามและความอดทนในครั้งนี้ได้ให้ชีวิตใหม่กับเราอีกครั้ง เราได้กลับมาใส่เสื้อผ้าสวยๆตามแฟชั่นได้ แม่มีคำชมมาให้เราทุกวัน สบายหูไปเลยค่ะ 555



         สุดท้ายนี้เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่นะคะ เรายังทำได้คุณก็ทำได้เหมือนกัน ขอแค่ตั้งใจจริงและเอาชนะใจตัวเองให้ได้ เราเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าหาข้ออ้างให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ความพยายามและความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ ตั้งไว้

        เราก็ใกล้จะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว สู้ไปด้วยกันนะคะ เราหวังว่ากระทู้ของเราจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆในนี้ ไม่มากก็น้อยเนอะ สงสัยตรงไหนสอบถามกันได้น๊า เราใจดี 555 ครั้งหน้าเราจะแวะเอากล้ามท้องมาให้ดูนะคะ ขอฟิตแอนด์เฟิร์มกว่านี้อีกนิดนะคะ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ ชีวิตขาดหวานไม่ได้ ก็ลดมันแบบหวานๆ นี่แหละ! น้ำหนักเกือบ 100 ลดเหลือ 58 (มีสูตร)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook