ชีวิตที่ไม่ใช่เทพนิยายของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี ลิเดีย ศรัณย์รัชต์

ชีวิตที่ไม่ใช่เทพนิยายของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี ลิเดีย ศรัณย์รัชต์

ชีวิตที่ไม่ใช่เทพนิยายของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี ลิเดีย ศรัณย์รัชต์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

LIFE IS NOT SO SWEET ชีวิตที่ไม่ใช่เทพนิยายของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี
ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา

พูดถึง ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา หลายคนอาจจะนึกถึงนักร้องสาวสวยร่างเล็ก เรนจ์เสียงกว้างและคม สมกับฉายา ‘เจ้าหญิงอาร์แอนด์บี’ ที่สร้างชื่อให้เธอเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว วันนี้เธอมีบทบาทอื่นๆ ที่ทำให้เราได้เห็นความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้อีกมากมาย ทั้งการเป็นนักแสดงในสังกัดค่ายใหญ่ เป็นนักพากย์ภาพยนตร์ และเป็นเจ้าของธุรกิจร้านขนมที่เธอใฝ่ฝันมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก แน่นอนว่ากว่าที่เธอจะผ่านมาถึงวันที่เธอสร้างฝันทุกอย่างให้เกิดขึ้นจริงได้ เธอต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย และนี่คือชีวิตที่ไม่ใช่เทพนิยายของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี

ได้ข่าวว่าตอนนี้คุณเป็นเจ้าของร้านอาหารรายล่าสุดไปแล้ว
ลิเดีย: ค่ะ ตอนนี้เพิ่งเปิดคาเฟ่แรกในชีวิต ชื่อ Café Reverie ซึ่งความหมายของ Reverie แปลว่า ฝันกลางวัน เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของร้านนี้เหมือนเทพนิยาย พอเดินเข้ามาก็อยากให้ทุกคนหลุดออกมาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ประตูหน้าร้านก็จะเป็นหนังสือ เหมือนว่าเปิดมาก็ก้าวเข้ามาในหนังสือ บรรยากาศเป็นสีขาว สะอาดๆ ตกแต่งด้วยดอกไม้ จะดูเป็นเทพนิยาย โคมไฟจะเป็นกาน้ำในห้องก็จะมีพิน็อคคิโอ อยากให้มันมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องราวต่างๆ ในวัยเด็กมารวมกัน ที่เปิดร้านนี้เพราะเราเป็นคนที่ทั้งชอบทำและชอบทานขนม คือเข้าร้านขนมแล้วมีความสุขมาก ก็เลยเริ่มจากการลองหัดทำเองที่บ้านแล้วก็เรียนเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ปี 2009 ใช้เวลาเป็นปี เพราะเรียน 1 คอร์สก็ 3 เดือน เดียก็พยายามแบ่งเวลา เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงถ่ายละคร ตอนเช้าก็ไปเรียนก่อน พอบ่ายก็ไปถ่ายละคร

รู้มาว่าช่วงแรกๆ ลงมือทำขนมเค้กขายคนเดียวเลย
ลิเดีย: ใช่ค่ะ เดียทำเอง เค้ก 3 ปอนด์ 20 ก้อน ก็นั่งปั้นแป้งในบ้านเอง ซื้อเตาอบอันใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ ซื้ออุปกรณ์อย่างอื่น เดียจะไม่ค่อยซื้อกระเป๋า รองเท้าเท่าไร แต่พวกอุปกรณ์ทำขนม เดียซื้อเก็บไว้เป็นห้องเลย

เอาเวลามาเปิดร้านแบบนี้ หมายความว่าตั้งใจที่จะลดงานในวงการลงด้วยหรือเปล่า
ลิเดีย: ยังทำอยู่ แต่นี่เป็นสิ่งที่เราชอบ นอกเหนือจากการร้องเพลง หรือว่าการแสดงละคร เลยเลือกที่จะทำตรงนี้ด้วย แต่ถ้าถามว่าจะหยุดงานในวงการบันเทิงไหม คงจะไม่ค่ะ คงจะทำไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เหนื่อยมาก ดีที่ตอนนี้มีทีมที่มาช่วย ก็พยายามแบ่งเวลาว่าอาทิตย์นี้เราจะทำอะไรบ้าง เราจะวางตารางไว้ อย่างแป้งคุกกี้ มันสามารถฟรีซได้ และอบสดทุกวัน เดียจะทำทีละล็อตใหญ่ แล้วสต็อกฟรีซไว้ แต่ละวันก็จะเอาแป้งที่ยังไม่ได้อบ มาอบใหม่

คนใกล้ตัวได้มีโอกาสลงมาช่วยทำขนมบ้างไหม
ลิเดีย: ช่วยกินค่ะ ช่วยชิมอย่างเดียว (หัวเราะ) ตอนแรกเดียจะทำขนมอย่างเดียว ไม่ถนัดทำอาหาร แต่พี่แมท (แมทธิว ดีน) ก็บอกยูมาทำติดกับค่ายมวย (ค่ายมวยของแมทธิวอยู่ติดกับร้าน CaféReverie) ก็น่าจะมีอาหารนะ เพราะคนที่เข้ามาก็คงไม่ได้อยากกินขนมอย่างเดียว ก็จะมีลูกค้าถามว่ามีอาหารคลีนด้วยไหม เลยมีออพชั่นให้ลูกค้าเลือกได้ว่าถ้าคุณออกกำลังกาย แล้วอยากได้โปรตีนเยอะๆ ก็จะมีอกไก่ ข้าวออร์แกนิก และอาหารปกติให้ทานค่ะ

หลังจากที่แต่งงานแล้ว ชีวิตเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมากน้อยแค่ไหนครับ
ลิเดีย: มันจะเปลี่ยนตรงที่ว่าเราอยู่บ้านเดียวกัน กลับมาเจอกันทุกคืน ตรงนี้คือที่เปลี่ยน แต่ในเรื่องของการคบกัน การใช้ชีวิต หรือการเป็นตัวของตัวเองก็เป็นเหมือนเดิม เราไม่ต้องปรับตัวเลย เพราะเราเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก็คุยกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่าแต่งงานแล้วอย่าเปลี่ยนนะ คบกันมา 10 ปี ทุกอย่างแฮปปี้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าแต่งแล้วเราเปลี่ยน มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า ก็เลยจะบอกว่าชีวิตเรายังเหมือนเดิม เดียไม่ใช่ภรรยาที่ว่าแต่งงานแล้ว เธอห้ามออกไปเจอเพื่อน มันไม่ได้ เดียก็ปล่อยเขา ต่างคนก็ให้เกียรติกันและกัน เวลาเขาออกไปข้างนอกเราก็ให้ไป เวลาเราออกไปบ้างเขาก็ไม่ห้าม มันเป็นเรื่องปกติ เขาจะไปไหนเดียก็ไม่เคยว่าอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่คบกันมา 10 ปี ไม่เคยห้ามอะไรเขาเลย หลังแต่งงานก็เลยไม่รู้ว่าทำไมต้องห้ามเขาด้วย

ถ้าคุณสามีจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ผู้หญิงบ้างได้ไหมครับ
ลิเดีย: ได้เลย เรา 2 คนรู้จักเพื่อนของแต่ละคนอยู่แล้ว และเดียก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะมาก เพื่อนผู้หญิงก็มี

แล้วในส่วนของการทำหน้าที่ภรรยาที่ต้องดูแลสามี คุณได้ทำเรื่องเหล่านั้นบ้างไหม
ลิเดีย:ไม่เลย ไม่รู้จะทำอะไร (หัวเราะ) คือเรื่องอาหารนี่ดูแลอยู่แล้วเราก็ทำไปตามปกติ แล้วอาจจะมีซักผ้าให้ เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน มันไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก เรื่องอาหารเช้านี่เดียไม่ถึงกับต้องทำประจำถ้าวันไหนมีเวลาก่อนไปทำงาน เราก็อาจจะทำได้บ้าง แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย พอแต่งงานชีวิตมันก็ดีขึ้นตรงที่เราได้อยู่ด้วยกัน ได้เจอกันมากขึ้น มันก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปอีกแบบนะ คบกันเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่ามันเติมเต็มมากขึ้น

พูดได้เลยว่าคุณกับสามีรู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ลิเดีย:ใช่ค่ะ เราเหมือนมีความมั่นคงมากขึ้น เวลาทำอะไรก็คือเป็น ‘เรา’ แทนที่จะเป็นฉันหรือเธอ คือก่อนที่เราจะแต่งงานกัน บางสิ่งบางอย่างแล้วแต่ยูละกัน ยูก็ตัดสินใจว่าจะทำอะไร แต่พอแต่งงานแล้ว ก็ต้องคิดมากขึ้นว่าเวลาทำอะไรมันจะส่งผลกระทบอะไรกับเราทั้งคู่บ้าง ก็ช่วยกันตัดสินใจ เหมือนทำงานเป็นทีมมากกว่า ตอนนี้เหมือนเป็นทีมเดียวกัน…

อ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ที่ OK! vol.7 no.266 January 2016

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook