ไม่เลือกงาน ญาญ่าญิ๋ง เส้นทางใหม่ในสายธุรกิจ

ไม่เลือกงาน ญาญ่าญิ๋ง เส้นทางใหม่ในสายธุรกิจ

ไม่เลือกงาน ญาญ่าญิ๋ง เส้นทางใหม่ในสายธุรกิจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ไม่เลือกงาน" "ญาญ่าญิ๋ง รฐา โพธิ์งาม" เส้นทางใหม่ในสายธุรกิจ
ภูมิ ชื่นบุญ : เรื่อง

ถึงเป็นคนที่ไม่สนใจข่าวคราวในวงการบันเทิง ก็ยังต้องเคยได้ยินชื่อของ "ญาญาญิ๋ง รฐา โพธิ์งาม" มาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะหลังจากอดีตนักร้องแนวพ็อปแดนซ์หน้าใสแห่งยุคมิลเลนเนียม ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทบนเส้นทางบันเทิงมาเป็น "นักแสดง" เต็มตัวเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ญาญ่าญิ๋งก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ขอบเขตของความเป็น "ดาราซูเปอร์สตาร์" ระดับคิวทองอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะปีก่อน (2556) ญาญ่าญิ๋งได้โชว์พลังการแสดงออกมาแบบเต็มพิกัด จนสามารถกระโดดขึ้นมาคว้ารางวัล "นักแสดงดาวรุ่งฝ่ายหญิง" จากเวทีท็อปอวอร์ด 2013 กับบทบาท "คุณบุญเลื่อง" ในภาพยนตร์ "จันดารา ปฐมบท (2555)" เวอร์ชั่น "หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล" ก่อนจะปรากฏตัวให้เห็นในภาพยนตร์อีกถึง 5 เรื่อง อาทิ จันดารา ปัจฉิมบท, นางฟ้า, จิตสัมผัส, ต้มยำกุ้ง 2 แต่ที่น่าตื่นเต้นมากสุดเห็นจะเป็น "Only God Forgives" ผลงานการโกอินเตอร์เรื่องแรก ที่ทำให้ญาญ่าญิ๋งได้ก้าวไปเดินพรมแดงยัง "เทศกาลหนังเมืองคานส์ 2013" จนสร้างชื่อกระหึ่มหน้าสื่อแทบทุกสำนักมาแล้ว

"ปีที่แล้วถือว่าเป็นปีทองของหญิง ทั้งการได้โกอินเตอร์ไปเล่นหนังกับต่างประเทศเรื่อง Only God Forgives ที่ทำให้ได้มีโอกาสไปเดินพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีก่อน หรือการมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงฝ่ายหญิงจากเวทีในเมืองไทย ถือเป็นการประสบความสำเร็จในเรื่องการแสดงของหญิงเลย แล้วหลังจากนั้นก็มีงานเข้ามามากมายอย่างที่ได้เห็นกันไปแล้ว"

ญาญ่าญิ๋งกล่าวถึงช่วงเวลาความพีกด้านการแสดงของตนเองเมื่อปีที่แล้วตามด้วยการเท้าความถึงวันวานก่อนหน้าความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ว่า หลังจากรวมตัวกับ "เจนนี่-เจนนิเฟอร์ โปลิตานนท์" และ "เบลล์ ไชน่าดอลล์-สุภัชญา ลัทธิโสภณกุล" ออกอัลบั้ม "Brazia" เมื่อปี 2552 ตนเองก็เริ่มมีงานเพลงเข้ามาน้อยลงเรื่อย ๆ ประจวบกับปัญหาหนี้สินเฉียด 10 ล้านบาทของคุณแม่ "น้อย โพธิ์งาม" ที่ปะทุขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันพอดี จึงได้ทำให้มุมมองความคิดของอดีตนักร้องพ็อปแดนซ์รายนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนกลายเป็นหลักไมล์หนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้

"หญิงเป็นคนไม่เลือกงานและกล้าทำทุกอย่าง ทั้งนักร้องที่ร้องได้ทุกสไตล์ ในฐานะนักแสดงก็เล่นได้หมดทุกแนว เพราะหญิงเป็นคนที่เปิดมาก ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากช่วงที่เราไม่มีงาน ทำให้เราเรียกร้องโอกาส ซึ่งในวันนั้นไม่มีใครหยิบยื่นให้ ไม่มีใครคอยดึงเราขึ้นมาในวันที่ล้มลง

วันที่เราต้องพยายามไขว่ขว้าอะไรหลายอย่างมาด้วยตนเอง แล้วด้วยข้อบังคับที่หญิงต้องทำงานหาเงิน เลยทำให้อีโก้ของเราหายไป มันจึงทำให้ต้องเปิดรับทุกอย่าง งานอะไรก็ต้องทำ จะเป็นงานเล็กงานน้อยนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำ มันเหมือนกับว่าเราไม่มีลิมิตในการใช้ชีวิต"

อดีตนักร้องพ็อปแดนซ์เล่าต่อไปอีกว่า ตอนแรกไม่ได้อยากเป็นนักแสดงเลยสักนิดเดียว เพราะรู้สึกว่าจะเป็นคนอื่นไปทำไม ในเมื่อการเป็นญาญ่าญิ๋ง นักร้องเพลงแดนซ์ก็สนุกดีอยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองจนได้ เพราะผลสัมฤทธิ์ทุกอย่างได้แสดงให้เห็นแล้วว่า "งานแสดงต่างหากที่ช่วยให้หาเลี้ยงเงินเลี้ยงแม่และลืมตาอ้าปากได้อย่างทุกวันนี้"

"หญิงรู้สึกว่าการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการรู้ บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ที่สุดในชีวิตก็ได้ อย่างหญิงที่รักการเป็นนักร้องที่สุด แต่ว่ามันกลับทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับการอยากเป็นนักร้อง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังอยากร้องเพลงอยู่นะ แต่นึกออกไหมว่าบางอย่างที่เรารัก มันอาจจะไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของเรา มันอาจเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งที่พาเราไปเจออะไรก็ได้"

การไม่เลือกงานบวกความอดทนปนขยันเมื่อวันวานได้ทำให้ "หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์" ชักชวนญาญ่าญิ๋งมาร่วมเล่นละครเรื่อง "ต้มยำรำซิ่ง" ในปี 2555 จนกลายเป็นฐานสำคัญของการแจ้งเกิดบนเวทีการแสดงในอีก 1 ปีต่อมา พร้อมทั้งยังสามารถสลายปัญหาหนี้สินก้อนโตลงได้ในเวลาไม่นาน จนอาจเรียกว่า "ปัญหาทำให้เติบโต" ได้อย่างแท้จริง

สำหรับผลงานปีนี้ของญาญ่าญิ๋ง มีทั้งงานจอแก้วกับละครชุด "มาเฟียเลือดมังกร" 5 เรื่อง อาทิ เสือ, สิงห์, กระทิง, แรด และหงส์ รวมถึง "สุดแค้นแสนรัก" ที่เพิ่งเปิดกล้องกันไปหมาด ๆ ส่วนผลงานจอเงินมีหนังโกอินเตอร์เรื่อง "ลูแปงที่ 3" ของผู้กำกับ "คิตามูระ เรียวเฮ" ที่ดัดแปลงมาจากมังกะชื่อดัง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าโรงฉายภายในประเทศไทย

ขณะที่ในปีหน้า (2558) ญาญ่าญิ๋งได้แย้มออกมาว่า ตนเองกำลังจะได้ร่วมงานละครเวทีมิวสิคอลแนวคอเมดี้กับ "บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ" ส่วนรายละเอียดมากกว่านั้นเปิดเผยไม่ได้ (ก่อนหน้านี้เธอเคยมีผลงานละครเวทีจากเรื่องฟ้าจรดทราย (2550) และแม่เบี้ย (2555))

หลังจากประสบความสำเร็จกับวงการบันเทิงได้ประมาณหนึ่งแล้ว ญาญ่าญิ๋งจึงตัดสินใจเจียดเวลาอันน้อยนิดในแต่ละวัน ขยับตัวออกมาร่วมหุ้นกับเพื่อนปั้นธุรกิจอาหารเสริมแบรนด์ "D24" ที่มีจุดเด่นเรื่องการดูแลรูปร่าง พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าความแน่นอนในวงการบันเทิงมีเวลาจำกัด จึงอยากเริ่มต้นทำธุรกิจของตนเองให้เร็วขึ้น เพื่อรองรับอนาคตหากวันหนึ่งต้องบอกลาวงการไปจริง ๆ

"เรื่องธุรกิจมันเป็นเรื่องของความท้าทาย มันใช่สิ่งที่หญิงเป็นไหม มันเป็นสิ่งที่หญิงชอบไหม มันเป็นสิ่งที่ใหม่มาก ใหม่จนหญิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงรักหรือว่าชอบมันหรือเปล่า แต่ว่ามันเป็นความท้าทาย มันเหมือนกับเป็นการเข้าโรงเรียนใหม่ มันเหมือนกับเราอยู่โรงเรียนอาร์ต แต่อยู่ดี ๆ เรามาอยู่สายวิทย์ มันเป็นความท้าทายในชีวิตที่ใหม่มากสำหรับหญิงในวันนี้"

ญาญ่าญิ๋งเล่าความฝันของตนเองและคุณแม่ให้ฟังว่าหากวันหนึ่งธุรกิจที่ทำอยู่และงานวงการบันเทิงถึงจุดอิ่มตัว (ในความหมายของการมีเงินในบัญชีเยอะประมาณหนึ่ง ซึ่งหญิงแอบเผยว่าน่าจะอีกสัก 10 ปีข้างหน้า) วันนั้นก็อยากจะผันตัวมาเป็น "ชาวไร่" ทำไร่กุหลาบอันเป็นความฝันของคุณแม่น้อยมาตั้งแต่วัยเด็ก แล้วจากนั้นก็อาจจะแต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน แต่ถ้าหาไม่ได้ก็คงอยู่กับคุณแม่แค่ 2 คนดีกว่า

"หญิงอยากมีครอบครัวและอยากเป็นแม่คน ในชีวิตนี้หญิงผ่านมาหมดแล้วทุกบทบาท ทั้งนักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ เป็นเพื่อน เป็นลูก แต่ยังไม่เคยเป็นแม่ เราอยากเรียนรู้การทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และการคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเป็นยังไง ทุกวันนี้เราทำงานเพราะต้องการเงินมาดูแลครอบครัว มันเป็นความต้องการที่ทำเพื่อตัวเอง ซึ่งหญิงคิดว่าวิธีเดียวที่จะเรียนรู้สิ่งนี้ได้คือการมีลูก แต่ถ้า 35 แล้วไม่เจอคนถูกใจก็คงไม่แต่งงานหรือมีลูกแล้วนะ เพราะมันเสี่ยงต่อตัวเด็กที่เกิดมา"

ได้ยินญาญ่าญิ๋งเล่าถึงอนาคตหลังอิ่มตัวจากวงการบันเทิงแล้วก็ทำให้ฉุกคิดว่า ก่อนวันอำลาวงการนั้นจะมาถึง เราจะมีโอกาสได้เห็นอดีตนักร้องพ็อปแดนซ์รายนี้ถือไมค์โชว์สเต็ปบนเวทีอีกครั้งหรือไม่ เพราะความเป็นไปได้ล่าสุดของการหวนคืนบทบาทนักร้องกับค่ายของ "ไวเคลฟ ฌอง" โปรดิวเซอร์ดังชื่อก้องโลก ต้องล้มลงอย่างน่าเสียดาย หลังข้อตกลงเรื่องสัญญามีปัญหาไม่ลงตัว

"ปีหน้าอาจจะมีโปรเจ็กต์พิเศษกับเพื่อน ๆ (แคทรียา อิงลิช, เจนนิเฟอร์ โปลิตานนท์, ไชน่า ดอลส์) แต่คงต้องลุ้นเรื่องคิดอีกทีว่าจะเกิดขึ้นไหม"

ญาญ่าญิ๋งอธิบายถึงที่มาของโปรเจ็กต์พิเศษว่าเริ่มต้นจากการเปิดทีวีเห็นเพลงเต้นในยุคนี้ไม่มีความแปลกใหม่ หาอะไรจับต้องไม่ได้ เหมือนกันไปหมด ไม่เหมือนกับเกิร์ลกรุ๊ปสมัยก่อนที่แต่ละคนมีสไตล์และเสน่ห์ในแบบตัวเอง จนทำให้ตนเองรู้สึกว่าอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องกลับมากอบกู้วงการเพลงเต้นของไทยคืนมา (หัวเราะ)

"บางเพลงขึ้นอินโทรมายังไม่รู้เลยว่าเป็นของใคร นึกว่าเพลงเกาหลี ตอนนี้หญิงคิดว่าคนกำลังเรียกร้องศิลปินตัวจริง ไม่ใช่เหมือนสมัยนี้ที่เอาดารานักร้องมากองรวมกัน แล้วไม่รู้จักว่าใครเป็นใครบ้าง เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ส่วนใหญ่จะเหมือนกันไปหมด ทั้งที่ความเป็นตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่เด็กสมัยนี้มักเหมือนหลุดออกมาจากซีรีส์เกาหลี เพราะมองว่าแบบนั้นดีจึงอยากเป็นบ้าง โดยหลงลืมไปว่าตัวเองก็มีของดีอยู่กับตัว สำหรับเราตอนนี้คือ พอกันทีเถอะเคพ็อป"

เจ้าของเพลงฮิต "เจ็บนิดนิด" ในยุคมิลเลนเนียมเพิ่มเติมว่าสมัยนี้คนได้เสพงานหลากหลายมากขึ้นทั้งเพลงและหนัง เพราะโลกแคบลงจากการมาของอินเทอร์เน็ต ทำให้เริ่มมีการเปรียบเทียบกันระหว่างผลงานของดารานักร้องแต่ละคน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนไหนเป็นของจริงคนไหนเป็นของปลอม

โดยสิ่งสำคัญที่ญาญ่าญิ๋งมองว่าคนบันเทิงต้องพึงระลึกไว้เสมอคือ "อย่าดูถูกคนดู" ด้วยการทำงานแบบขอไปที เพราะคิดว่าคนทางบ้านดูงานของเราไม่เป็น เวลาต้องแสดงหรือร้องเพลงต้องทำให้เต็มที่สุดความสามารถ แม้พื้นที่ตรงนี้จะเป็นงานที่ได้เงินง่ายหากเทียบกับอาชีพอื่น แต่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อวันหนึ่งหมดกระแสก็จะไม่มีใครหันมามอง

"ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้มันเร็วมาก บางคนเข้ามาแล้วก็หายไป ปีที่แล้วดังมาก แต่ปีนี้เงียบก็มีให้เห็นเยอะแยะ ดังนั้น อย่าดูถูกคนดู อย่าดูถูกแฟนเรา" ญาญ่าญิ๋งย้ำแนวคิดการทำงานในวงการบันเทิงปิดท้ายบทสนทนา

อัลบั้มภาพ 17 ภาพ

อัลบั้มภาพ 17 ภาพ ของ ไม่เลือกงาน ญาญ่าญิ๋ง เส้นทางใหม่ในสายธุรกิจ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook