มู นา อัลล์ ซารูนี่ณ์ เศรษฐินีดูไบ...สบายกว่านี้มีอีกไหม

มู นา อัลล์ ซารูนี่ณ์ เศรษฐินีดูไบ...สบายกว่านี้มีอีกไหม

มู นา อัลล์ ซารูนี่ณ์ เศรษฐินีดูไบ...สบายกว่านี้มีอีกไหม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ชีวิตวัย..ว่าง" มู นา อัลล์ ซารูนี่ณ์ เศรษฐินีดูไบ...สบายกว่านี้มีอีกไหม

คงไม่ต้องไปพูดถึงความรวยที่ปรากฏต่อสายตาผู้คนผ่านสื่อต่าง ๆ มากมายของเศรษฐินีแห่งดูไบ "มูนา อัลล์ ซารูนี่ณ์" ภรรยาของ อาเหม็ด นูร์ ซารูนี่ณ์ นักธุรกิจร่ำรวยติดอันดับท็อปไฟฟ์ ในดินแดนขุมทรัพย์ทะเลทราย

วัดจากจำนวนกะรัตเครื่องเพชรระยิบกองพะเนินเต็มตู้เซฟ กับความอลังการของจิวเวลรี่อีกหลายชิ้นที่เธอสะสมเก็บไว้จนเหนื่อยที่จะขนมาโชว์ แต่ถ้าเป็นเรื่องโชว์ตัวถึงไหนถึงกัน

เพราะทราบกันดีว่า มูนาเป็นเจ้าแม่ความเวอร์อลังการงานสร้าง ชนิดที่เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่า จัดเต็มจัดเยอะทุกครั้งที่ออกงานหรือออกสื่อ และยอมรับว่าบางครั้งตัวเองก็แต่งตัวได้ "ลิเก" มาก

แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะมันเป็นความชอบส่วนตัว และเธอก็คิดว่า "สามีก็คงชอบเหมือนกัน" แม้จะไม่เคยชมหรือตำหนิ

แค่จะถามว่า "แต่งอะไรของเธอ" ซึ่งมูนาคิดว่าเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ของสามีด้วยซ้ำที่เห็นภรรยาแต่งกายงดงาม

ที่สำคัญเธอมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกและสวมใส่ ชนิดที่ไม่แคร์สายตาใครจะนินทาว่าเธอเยอะแยะยังไงก็ไม่สนใจ เพราะเธอถือคติที่ว่า "พูดได้พูดไป เหนื่อยตอนไหน ก็หยุดพูดไปเอง"

รวมถึงคนที่ตั้งคำถามว่า "ไม่รวยจริง มีหนี้สินเยอะแยะและอีกสารพัด" แน่นอนว่าเธอไม่ต้องสนใจคนเหล่านี้ เพราะชีวิตที่อยู่บนกองเงินกองทองอย่างเธอ ไม่มีอะไรต้องแคร์อีกแล้ว

"ชีวิตพี่เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่างแล้ว" สาวใหญ่วัยแซยิดชี้แจงชีวิตหลังจากเธอกลายเป็น "ซินเดอเรลลา" แต่งงานกับเศรษฐีชาวอาหรับลูกผสมปากีสถาน ในอาณาจักรขุมทรัพย์ทะเลทรายเมืองดูไบ ดินแดนผู้ร่ำรวยอยู่อาศัย

จากสาวม่ายจัดทัวร์ ย้ายสถานะไปเป็นภรรยาหนุ่มอาหรับ ซึ่งเขาต้องรอเวลานานหลายปีกว่าเธอจะยอมตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดไปอยู่ในเมืองล้อมรอบด้วยทะเลทรายรายล้อมด้วยคนรับใช้มากมายและสมาชิกในครอบครัวอีกหลายสิบคน

ชีวิตที่แสนจะไม่ธรรมดาของสตรีผู้นี้ในต่างแดน ยังมีเรื่องราวอีกหลายแง่มุมที่เกิดขึ้น เพราะชีวิตมนุษย์นั้นไม่ได้มีแค่ด้านเดียว

ถ้ามองเพียงภาพลักษณ์ภายนอกเธออาจจะดูเป็นคนเข้าถึงยาก แต่ถ้าได้สัมผัสกับตัวจริง สาวสวยคงกระพันคนนี้ไม่มีความเย่อหยิ่งถือตัวหรือทะนงตัวแต่อย่างใด ความเป็นกันเองในแบบที่ว่า ไม่ปกปิดความลับ ความรู้สึก นี่คือตัวตนของเธอ หญิงสาวผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่ง

เธอใช้ชีวิตในแบบที่หลายคนต้องอิจฉาในความ "ว่าง" ของแม่บ้านไฮโซอย่างเธอในการเดินทางมาเยือนเมืองไทยของเศรษฐินีภรรยาเศรษฐีเมืองดูไบครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อมาเที่ยวและเยี่ยมลูกชาย และเจียดเวลาเปิดบ้านให้หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจเข้าไปสอบถามเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ในต่างแดน

มูนายังคงคอนเซ็ปต์ "จัดเต็ม" เหมือนเดิม เธอขนเสื้อผ้าเครื่องประดับอะร้าอร่ามงดงามสไตล์ "ลิเก" อย่างที่เธอให้คำจำกัดความด้วยเอง ผลัดเปลี่ยนชุดเครื่องประดับให้ช่างภาพได้เก็บภาพไว้หลายชอต ซึ่งโดยปกติแล้วเธอบอกว่าจะต้องมีช่างทำผมแต่งหน้ามาให้เธอด้วย

แต่ครั้งนี้เธอลงมือแปลงโฉมด้วยตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่ต้องพึ่งมืออาชีพ แค่พึ่งมือตัวเองก็เอาอยู่ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม จัดแบบเบา ๆ ตามสไตล์หนังสือพิมพ์ธุรกิจที่เธอบอกว่า "หนังสือพิมพ์ธุรกิจไม่ต้องเยอะมาก แค่พอดี ๆ ก็พอ"

"สไตล์การแต่งตัวของพี่กะเทยชอบ เพราะพี่เยอะ" เศรษฐินีดูไบใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าพี่ และอธิบายสิ่งเธอเป็น (เยอะ) ให้ฟังว่า สามีก็แอบแฮปปี้ แต่ไม่เคยพูด เพราะเธอพูดแทนว่า "เขาน่าจะดีใจที่ภรรยายังดูเด็กแต่งตัวได้เรื่อย ๆ"

จากนั้นมูนาเล่าย้อนชีวิตในฐานะสะใภ้ชาวมุสลิมที่ต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามตามสามี และต้องย้ายไปอยู่รวมกับสะใภ้อีก 4 คน ในต่างแดนที่ใช้ภาษาอารบิกและภาษาอังกฤษที่เธอยังพูดไม่ค่อยคล่อง

"ต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าจะยืนหยัดเอาตัวรอดมาได้" แม้จะมีสะใภ้ร่วมชายคากันถึง 4 คน แต่มูนาก็เหมือนจะถูกโดดเดี่ยว ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง เพื่อให้เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ในแบบที่เธอไม่เคยเผชิญมาก่อนด้วยตัวเอง

"พี่เป็นคนชอบเก็บตังค์ ชอบซื้อเพชร ทุกเดือนเราจะมีเงินเดือน เราก็เอาเงินตรงนั้นไปซื้อเพชรเก็บ พอมีงานทีเราก็เอาเพชรออกมาใส่ คนก็อิจฉา เพราะว่าคนอื่นเอาเงินไปท่องเที่ยวกันหมด"

มูนาเล่าว่า บ้านเศรษฐีที่เธอไปอยู่นั้นจะมีการแบ่งปันงบประมาณเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวครั้งละประมาณ 3-5 ล้าน มอบให้ 2-3 ครั้งต่อปี ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธุรกิจ

โดยงบประมาณท่องเที่ยวนี้ ใครอยากเก็บหรืออยากเดินทางสุดแต่ความต้องการ ส่วนเธอเลือกที่จะเก็บไว้ และเดินทางมาเยี่ยมลูกที่เมืองไทย ค่าใช้จ่ายถึงไม่แพงอย่างคนอื่น ๆ ที่จะเดินทางไปพักโรงแรมหรูมีระดับเป็นแรมเดือน

สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตหญิงม่ายลูกติดที่ชีวิตผกผันได้สามีรวยและเด็กกว่าตัวเองถึง 6 ปี อยากได้อะไรสามีก็พร้อมประเคนให้ทุกอย่าง มูนาบอกว่า "บางคนคิดว่า ผัวหลงมัน"

"แต่พี่จะบอกว่า พี่ไม่ได้เป็นคนฟุ้งเฟ้อ ไม่ได้บ้าแบรนด์เนม แต่ก็มีบ้าง ซึ่งเราไม่ได้มีแบบสะสมมากองไว้เยอะ ๆ ต้องมีทุกแบบทุกสี ทุกคอลเล็กชั่น ไม่ใช่แบบนั้น เราซื้อแค่พอประมาณเท่านั้น (ยกเว้นเพชร)" มูนาอธิบายถึงความเป็นตัวเองในแบบที่สามีเธอรักเดียวใจเดียวมาตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน

เพราะเธอยื่นคำขาดนับตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันว่า หากสามีไปมีคนอื่นเธอก็จะกลับมาอยู่เมืองไทยทันที แต่ถึงตอนนี้เธอก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับมาเมืองไทยถาวร แม้จะคิดเสมอว่าบั้นปลายชีวิตอยากกลับมาอยู่เมืองไทย

อาจจะดูเหมือนว่า มูนาโชคดีมีทรัพย์สินใช้จ่ายเหลือกินเหลือใช้ มีเวลาว่างมากเหลือเฟือ ชนิดที่ว่า ตื่นมาแค่แต่งตัวสวยไปวัน ๆ ออกงานสังคมปาร์ตี้ไฮโซเป็นกิจวัตรประจำวันในแบบของคนไม่มีงานทำ

เบื้องหลังฉากความสวยงามเลิศเลออลังการนี้ มูนาก็เป็นนางก้นครัวดี ๆ นี่เอง

"อยู่ดูไบพี่ทำอาหารทานเอง และการตั้งโต๊ะแต่ละครั้งไม่ว่าจะเลี้ยงคนเดียวหรือสิบคน อาหารก็ต้องเต็มโต๊ะ ทานหมดหรือไม่หมดก็ต้องจัดให้เต็มโต๊ะไว้ก่อน หน้าที่พี่ก็คือปรุงอาหารในครัว แต่ก็มีลูกมือคอยช่วย"

ดูเหมือนว่าฝีมือการทำอาหารของเธอรสชาติดีเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร ฝีมือการปรุงอาหารของหญิงไทยนี่เองที่มัดใจสามีอยู่หมัด แบบที่เรียกกันว่า "เสน่ห์ปลายจวัก"

เรื่องนี้ลูกสาว (ซาราห์) ออกมายืนยันอีกเสียงว่า "แม่ทำกับข้าวอร่อยค่ะ"

ซาราห์

นอกจากต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในหน้าที่ "แม่" เธอก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

แม้ว่าเธอจะเสียใจกับทางเลือกที่จำเป็นต้องเดินทางไปดูไบ และต้องปล่อยลูกชาย 2 คน (ที่เกิดกับสามีคนเก่า) "ฌาน ชานนท์" หนุ่มหล่อนายแบบและผู้บริหารแห่ง Zen และ ปิยะ ชานนท์ เปิดร้านเสื้อผ้า At Most ไว้ที่เมืองไทยตอนลูกชายคนโตอายุ 15 ปี

ตอนที่รู้เธอตกใจมากเพราะสามีอยากให้ย้ายไปเพราะลูกสาว (ซาราห์อายุ 6 ขวบ) จึงอยากให้ไปเรียนที่ดูไบ แต่เธอก็หมั่นกลับมาเยี่ยมลูกชายเป็นประจำและพาลูกไปอยู่ด้วยในที่สุด

ทุกวันนี้ลูกชายของเธอก็สนิมสนมกับน้องสาว(ซาราห์)และน้องชาย(อะดิล) พี่น้องคนละพ่อ

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เธอมักจะน้ำตาคลอขึ้นมาทันที

ซาราห์ และ ฌาน ชานนท์

ถึงตอนนี้เธอไม่มีอะไรให้ห่วง ไม่มีลูกให้ต้องดูแล เพราะทุกคนเรียนหนังสือจบ มีหน้าที่การงานที่ดีทำกันหมดแล้ว เธอจึงเริ่มมีเวลาว่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งวัดได้จากอินสตาแกรม monaz ที่เธอตอบทุกคอมเมนต์ เป็นอีกกิจกรรมที่ย้ำว่าเธอว่างจริง ๆ

จึงเลือกที่จะโพสต์ภาพสวยเก๋ของเธอให้บรรดาแฟนคลับมาตามฟอลโลว์ กดไลก์ เพื่อดูชีวิตที่หรูหราไฮโซถ่ายทอดความสุขลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก

สำหรับสิ่งที่สาวใหญ่วัย 60 ปีโฟกัสในตอนนี้คือ ความงาม ที่เธอยังไม่หยุดต่อสู้กับความโรยรา ทำทุกวิถีทางที่จะชะลอความแก่ตราบเท่าที่จะทำได้

"พี่คิดว่าต้องยื้อให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงตอนทำไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับสภาพ ถามว่าพี่มีทำศัลยกรรมไหมก็ต้องบอกว่ามีบ้าง โบท็อกซ์ ดึงหน้า แต่พี่บำรุงจากภายในด้วยทุกเช้าพี่จะดื่มน้ำผลไม้แยกกากรับประทานทุกอย่างที่อยากกิน แต่จะไม่กินมากเพราะกลัวอ้วน มื้อเย็นงด"

ส่วนการบำรุงภายนอกนั้น สตรีผู้ไม่ยอมแก่คนนี้ใช้ทุกเวลาอย่างคุ้มค่าในการชโลมครีมทุกครั้งที่มือว่าง เช่น ตาดูทีวีแต่มือว่าง เธอก็จะคว้าครีมมาทาผิวได้ตลอดเวลา

"พี่เปลี่ยนครีมตลอด หมดกระปุกก็เปลี่ยนยี่ห้อ เพราะพี่คิดว่าเราไม่ควรทาอะไรซ้ำแบบเดิม ๆ ไปตลอด คงต้องเปลี่ยนบ้าง แต่ต้องเลือกที่ไม่แพ้นะ" หญิงวัย 60 ปี อธิบายถึงเทคนิคการเลือกครีมที่ใครอยากนำไปใช้บ้างก็ไม่หวง

แต่ที่น่าห่วงทำตามได้ยากคือ การเทงบประมาณปรับสมดุลความงาม ทุ่มให้กับโสมชะลอวัยสกัดแบบเข้มข้นปีละ 1.2 ล้านบาท เฉลี่ยต่อครั้ง..ดื่มอึกละหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook