ชีวิตไฮโซลาวสุดแซ่บ เมย์ สองใหญ่ แบรนด์เนมพราวทั้งร่าง

ชีวิตไฮโซลาวสุดแซ่บ เมย์ สองใหญ่ แบรนด์เนมพราวทั้งร่าง

ชีวิตไฮโซลาวสุดแซ่บ เมย์ สองใหญ่ แบรนด์เนมพราวทั้งร่าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตไฮโซลาวสุดแซ่บ เมย์-สองใหญ่ อินศรีเชียงใหม่ แบรนด์เนมพราวทั้งร่าง

ใครที่ได้ลองติดตามอินสตาแกรม (Instagram หรือ IG) ที่ใช้ชื่อ "maymay_svan" คงได้เห็นความอลังการของจิวเวลรี่อุดมไปด้วยเพชรเม็ดเป้ง กระเป๋าเบรนด์เนมชื่อดังระดับโลก อย่าง Dior, Chanel, Hermes หลายสิบใบ เสื้อผ้าแบรนด์ดัง และนาฬิกาหรูอีกหลายเรือน สลับกับภาพนางแบบใน IG ที่นุ่งผ้าซิ่นโชว์กระติบข้าวเหนียวไปงานวัดงานบุญ

บางคราวก็มีรูปเธอไปร่วมในงานสำคัญ ๆ กับเหล่าเซเลบริตี้เมืองไทยอีกหลายครั้ง

จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และทำงานอะไร ถึงได้ร่ำรวยมีเงินช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมแบบกระจุยกระจายได้ขนาดนี้ และมักจะปรากฏตัวในงานระดับซูเปอร์ปาร์ตี้ของเหล่าคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

ล่าสุดเธอและเพื่อนชาวลาวอีกกว่า 20 คน บินมาจัดงานวันเกิดที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ โดยมีเซเลบริตี้ ดาราชาวไทยเข้าร่วมงานอย่างอบอุ่นและคับคั่ง เป็นวันเดียวกับที่ "ประชาชาติธุรกิจ" นัดสัมภาษณ์เธอผู้นี้ ระหว่างรอช่างแต่งหน้าที่กำลังกลับจากเมกอัพหน้าให้นางเอกสาว "ชมพู่-อารยา"

เธอผู้นี้คือนักธุรกิจจากสะหวันนะเขต สปป.ลาว มีนามว่า "สองใหญ่ อินศรีเชียงใหม่" หรือเมย์ อายุ 26 ปี บุตรชายของ นายสุวรรณกร กาศรีซงเดช (เสียชีวิต) และนางวิไลวรรณ อินศรีเชียงใหม่

ครอบครัวของเธอทำธุรกิจเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ารถยนต์หรู ชื่อบริษัท Phonesavanh Trading และยังมีธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้านำเข้าจากประเทศไทยส่งขายที่ประเทศเวียดนาม และอีกหนึ่งธุรกิจที่เมย์เริ่มต้นหยิบจับด้วยตัวเอง คือขายจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์ในเมืองลาว และมีการซื้อขายที่ดินเป็นงานอดิเรกประปราย เรียกว่าฐานะของครอบครัวอยู่ในระดับเศรษฐีเมืองลาวก็ว่าได้

เหตุนี้เองที่ทำให้เธอปรากฏตัวเมืองไทยเดือนละ 3-4 ครั้ง นอกเหนือจากการทำงานที่ต้องแวะไปดูช่างจิวเวลรี่แล้ว ภารกิจที่ขาดไม่ได้ทุกครั้งที่มาของเธอ คือต้องหอบหิ้วกระเป๋า Hermes และสินค้าแบรนด์เนมอื่น ๆ กลับบ้านที่ลาวอยู่เป็นประจำ

เรียกว่าคอลเล็กชั่นไหนที่ชอบและสนใจ ซื้อเก็บทุกแบบ ทุกขนาด ทุกสี

เธอกวาดเรียบดูเหมือนเมย์จะกลายเป็นลูกค้าคนพิเศษประจำห้างสรรพค้าเมืองไทยไปแล้ว เพราะหลังจากที่เธอกลับจากช็อปปิ้งจะมีกระเช้าดอกไม้ส่งมอบถึงห้องพักโรงแรมเคมปินสกี้ แทบจะทันที

"ส่วนใหญ่จะช็อปปิ้งเมืองไทย เพราะไม่มีเวลาไปเมืองนอก แต่ต้องชอปจริงนะถึงจะซื้อ" เมย์บอกเหตุผลของความชอบ โดยมองว่าคนเราจะเลือกสะสมของไม่กี่อย่าง เพราะทั้งบ้านและรถเธอก็มีพร้อมหมดแล้ว เครื่องประดับก็ขายเอง ที่ขาดก็คือกระเป๋า เสื้อผ้า และนาฬิกาที่เธอยังไม่มี

"บ้านเมย์ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นบ้าน 3 ชั้น มี 6 ห้องนอน รถก็ไม่จำเป็นต้องนั่งโรลส์รอยซ์ เบนท์ลีย์ แม้คนอื่นจะขับเบนซ์ แต่เราขับรถยี่ห้ออะไรก็ได้ไม่มีปัญหา (ขับ BMW) ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสุขกับชีวิตตรงไหน แต่ตอนนี้เราแฮปปี้มาก ด้วยอายุเท่านี้ (26 ปี) เพิ่งเริ่มสะสมกระเป๋าเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะชอบ รู้สึกว่ามันมีรสนิยม ตอนนี้ก็มองว่าการซื้อกระเป๋าเป็นการลงทุน"

ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนระยะยาวทีเดียว ทั้งปริมาณและราคาที่สูงลิบ ราคาตั้งแต่หลักแสนถึง 3 ล้านบาท

การเดินทางมาช็อปปิ้งเมืองไทยแต่ละครั้ง เมย์ต้องจ่ายเงินค่ากิเลสที่เธอต้องการดับ เฉลี่ยสูงสุดเป็นตัวเลข 8 หลักกันเลยทีเดียว

"เราหาเงินมาได้ เราก็เอาของพวกนี้มาดับกิเลส ทุกคนมีกิเลสไม่เหมือนกัน ผู้ชายอาจจะชอบนาฬิกา บ้าน และรถ แต่ผู้หญิงจะชอบกระเป๋า เครื่องเพชร และนาฬิกา เมย์มีทั้งส่วนที่ผู้หญิงและผู้ชายก็ชอบ เราอยากได้ ก็เอาเงินไปซื้อมา ก็ดับความอยากได้ เมย์ก็โอเคนะ เมย์เลือกดับกิเลสแบบนี้ ก็ไม่เสียหายนิ" ไฮโซลาวอธิบายวิธีการดับความอยากจากเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง หลังจากหมกมุ่นอยู่กับงาน ไม่ได้ไปท่องเที่ยว หรือเรียนหนังสือ

การช็อปปิ้งจากเงินที่ได้มาด้วยความภาคภูมิใจ เป็นส่วนหนึ่งที่มาชดเชยโอกาสที่สูญเสียไปในวัยเด็ก

เมย์เล่าย้อนหลังชีวิตในวัยเยาว์ เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจาก สปป.ลาว ก่อนออกเดินทางมาเรียนต่อโรงเรียนนานาชาติที่ขอนแก่น (รุ่น 2) และย้ายไปเรียนต่อปริญญาตรี บริหารธุรกิจ ที่เมืองโอกแลนด์ประเทศนิวซีแลนด์ แต่เรียนไม่จบ หลังจากเรียนได้แค่ 1 ปี เมย์ก็ต้องกลับมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็ง และเสียชีวิตในเวลา


กล่องกระเป๋าแบรนด์เนมวางเกลื่อน อาทิ Dior, Chanel, Hermes เป็นต้น

ต่อมา เธอจึงต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ ขณะที่พี่ ๆ น้อง ๆ (3 คน) ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ ถึงวันนี้เธอยอมรับว่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ และในวัยเด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก เกเรตามประสาวัยรุ่น แต่ถึงวันนี้เมย์บอกว่า เธอภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้ จุดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ที่ได้รับการยอมรับและให้เกียรติ

"เมย์เลือกที่จะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด แน่นอนว่าตอนเด็ก เราก็ต้องถูกเหยียดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จึงต้องบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องทำให้เขายอมรับในความสำเร็จของเราให้ได้ และวันหนึ่งเราก็ไม่ได้น้อยหน้าพวกเขา ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ และสังคม ที่เป็นแรงผลักดันให้เรามาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ขอบคุณที่ทำให้มีกำลังใจ"

จากเด็กวัย 13 ปี ที่เคยเกาะกระจกชมจิวเวลรี่ ทำได้เพียงแค่มอง แต่ไม่มีเงินซื้อ ผ่านไป 13 ปี เด็กคนนั้นได้มาเปิดกิจการจิวเวลรี่เป็นของตัวเองในชื่อ "svan diamond" ที่เธอมีส่วนในการออกแบบและคัดสรรเพชรด้วยตัวเอง

เช่นเดียวกับกระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกที่ตัดสินใจซื้อ หลังจากเพ่งเล็งกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง รุ่นสปีดี้ ราคา 3 หมื่นกว่าบาทไว้อยู่นาน แต่สุดท้ายเธอก็ไปคว้าไปละแสนบาทมาแทน และซื้อครั้งละ 5-6 ใบ แต่ซื้อแค่ 3-4 รอบ มีประมาณ 40-50 ใบ ก็เบื่อ จากนั้นก็เบนเข็มเข้าหา Hermes มูลค่าหลักล้าน และแบรนด์ดังอื่น ๆ

มาในชุดของ "กุชชี่" พร้อมกระเป๋า Hermes อีกเกือบ 20 ใบ มูลค่ารวมเกือบ 20 ล้านบาท

"ช่วงนี้ก็เห่อซื้อเสื้อผ้า เพราะกระเป๋าเราก็เยอะแล้ว มีครบเกือบทุกสี (ทุกรุ่น) ลองมานั่งพิจารณากล่องที่ตั้งเรียงกัน ก็หนักเหมือนกันนะ (ยิ้ม) หนักใจ บางครั้งเราจะลงทุนทำธุรกิจ ก็มีเมียง ๆ มอง ๆ กระเป๋าเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่า ใครจะซื้อขายแค่วันเดียวได้"

เมื่อถามถึงจำนวนกระเป๋าที่เธอสะสมมาได้เกือบ 2 ปีนั้น เรียกว่าแทบจะไม่ได้นับ แต่นับกระเป๋าที่เมย์อุตส่าห์ขนใส่รถตู้ข้ามแม่น้ำโขง โดยมีองครักษ์พิทักษ์มาตลอดทาง เพื่อให้ช่างภาพได้เก็บรูปตามที่ขอไป ส่วนเธอก็บินข้ามฟ้ามารออยู่ก่อนแล้ว นับจำนวนกระเป๋าได้เกือบ 20 ใบ (แค่ส่วนหนึ่ง) เฉพาะยี่ห้อ Hermes หนังจระเข้ ประเมินราคาคร่าว ๆ เกือบ 20 ล้านบาทกันเลยทีเดียว ยังไม่นับเครื่องเพชรที่เธอเตรียมมาใส่ออกงานอีก

บางคนอาจจะมองว่าเธออวดร่ำอวดรวยมากไปหรือเปล่า คำตอบจากปากเธอคือ "ทุกคนมีความฝัน เราเองก็อยากแบ่งบันให้คนอื่นที่มาเปิดดูอินสตาแกรมเราแล้ว ดูเพลิน ๆ มาแชร์ความรู้สึกของเรา ไม่ได้อวดนะ แต่ฉันอยากจะบอกว่าฉันได้สิ่งนี้มา อยากให้ทุกคนดู ฉันได้ในสิ่งที่ฉันต้องการก็แชร์ไป คนอื่นมองก็มีความสุข"

ขณะเดียวกัน เธอก็ปฏิเสธว่า เงินไม่สามารถซื้อเกียรติและการยอมรับจากสังคมได้ แต่คนเราอยากเข้าไปหาคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่เพราะเงิน

"เพราะทุกคนที่เข้ามาหาเมย์ ไม่ใช่เพราะเงิน แต่อยากรู้ว่าเราทำไมถึงมาถึงจุดนี้ เราเป็นคนสบาย คุยกับใครก็ได้ คนที่จะเข้ามาคุยกับเรา ถ้าเราง่าย ทุกคนก็ง่ายหมด ถ้าเรารวยแล้วทำตัวไม่ดี ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญคุณหรอกค่ะ สังคมก็ให้คุณเผิน ๆ บางคนก็ไม่รู้หรอกว่าเรามีเงิน หรือใครมีเงิน แต่เราจะไปรู้เขาทุกเรื่อง เป็นไปไม่ได้ ตื่นนอนก็ต้องหาเงินแล้ว ก่อนนอนก็ต้องคิดแล้วว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร"

เช่นเดียวกับการเลือกคบคน เมย์มองว่า การสกรีนคนเข้ามาในชีวิต ไม่จำเป็นเฉพาะว่าคนมีเงินเท่านั้นที่ต้องคิด คนไม่มีเงินก็ต้องคิดเหมือนกัน ชีวิตนี้ไม่มีใครรักเราเต็มร้อย

"ชีวิตคน หากมีกระแสคนรักคนเกลียด ก็โอเคนะ"

การเลือกแคร์คนที่จำเป็นในชีวิตในวงจำกัดทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายและไม่ลังเล เพราะคนที่มีอิทธิพลต่อเธอคือครอบครัว ดังนั้น การคิดจะเปลี่ยนแปลงเพศตัวเอง อยากทำหน้าอกแบบผู้หญิงทั่วไปพึงมีนั้น จึงละเว้นไว้เสียก่อนจะทำศัลยกรรม เพราะเกรงว่าครอบครัวจะรับทีเดียวไม่ได้

แต่ความเคยชินทำให้เธอไม่สนใจอยากแต่งเติม ไม่ว่าจะเป็นส่วนบนหรือส่วนล่าง เพราะมองไม่เห็นความจำเป็นในการทำศัลยกรรม

"ไม่ใช่มีตรงนี้แล้วจะเป็นคำตอบว่าชีวิตของคุณมีความสุข ทุกวันนี้ก็แฮปปี้ มีคนเข้ามาจีบบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่จำเป็นต้องตามใจตัวเองทุกเรื่อง เรามีข้างล่างมีข้างบนเพื่อให้คนอื่นมาชอบ แต่เราจะเพื่อคนอื่นทำไม ต้องชอบที่เราเป็นสิ ยอมรับว่าแต่ก่อนคิดอยากทำ ตอนนี้ไม่คิด แต่อนาคตไม่รู้จะเป็นยังไง"

สิ่งที่ทำให้เมย์คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตติดดิน กินของข้างถนนภูมิใจคือ "คนลาวก็หิ้วกระเป๋า Hermes แบรนด์อันดับหนึ่งของโลกนะ และดีใจที่ทำให้คนอื่นมารู้จักประเทศของตัวเองด้วย"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook