ไม่อดอาหาร! สาวร่างอวบ ลดน้ำหนัก 10 กก. แบบไม่พึ่งยา อาหารเสริม

ไม่อดอาหาร! สาวร่างอวบ ลดน้ำหนัก 10 กก. แบบไม่พึ่งยา อาหารเสริม

ไม่อดอาหาร! สาวร่างอวบ ลดน้ำหนัก 10 กก. แบบไม่พึ่งยา อาหารเสริม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความสวย ไม่จำเป็นต้องผอมหรือหุ่นดีเสมอไป ถ้าผอมแล้วสุขภาพแย่คงไม่ดีแน่ๆ เชื่อว่าสาวๆ อยากผอม หุ่นดี เหมือนดาราที่ชื่นชอบ แต่การจะมีรูปร่างดีนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด

ทางออกผิดที่หลายคนหลงทางไป จึงไม่พ้นวิธีลดความอ้วนด้วยการหันไปพึ่งยาลดน้ำหนัก แม้จะได้ผลเร็ว เห็นผลทันใจ แต่ผลเสียที่ตามมา น่ากลัวกว่าที่คิด เหมือนเช่น คุณเนม ที่เคยใช้วิธีผิดๆ เช่นกัน เธอได้ถ่ายทอดประสบการณ์การลดน้ำหนักจาก น้ำหนัก 73 เหลือ 57 กิโลกรัมไว้เพื่อเป็นทางเลือกให้สาวรักสุขภาพใช้เป็นทางออกค่ะ

เราเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องกินมาก น้ำหนักเคยพีคสุดคือ 73 ค่ะ ส่วนสูง 155 ซม. นี่คือน้ำหนักที่เรียกว่าเกิดจากการโยโย่อย่างแท้จริง ขอย้อนกลับไปเรื่องโยโย่ก่อนแล้วกันค่ะ เผื่อเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังกินยาลดความอ้วน หรือกำลังคิดจะลอง ยาลดความอ้วนในที่นี้เราเคยเจอมาหลายรูปแบบค่ะ ทั้งยาชุดและอาหารเสริมที่บอกกับเราว่าลดน้ำหนักได้ เราเข้าสู่วงจรนี้ตั้งแต่มัธยมปลาย กินยาชุดจากคลินิกที่ต่างจังหวัด ใน 1 ชุด จะมียาเม็ดหลากสีให้กินเช้า และก่อนนอน แต่ถ้าในระดับสูงๆ จะมีจำนวนมากขึ้น ในระดับเริ่มต้นก็จะมีน้อยหน่อย แต่อานุภาพรุนแรงมาก อาการเบื่ออาหารปรากฏตั้งแต่วันแรก และก่อนนอนยังมียาระบาย

เรากินจนถึงระดับเกือบสูงสุด ทั้งวันกินได้แค่มื้อเช้าเพราะหลังจากนั้นจะกินได้แค่น้ำอย่างเดียวเพราะไม่รู้สึกหิวอะไรเลย ทำให้น้ำหนักลดลง 12 กิโล ในเวลา 1 เดือน ของแถมคือเราได้ร่างซอมบี้กลับมา โทรมมาก แต่น้ำหนักที่ลดลงตอนนั้นทำให้เรามีความสุขกับมัน

หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยชั่งน้ำหนักอีกเลย แต่ใช้ความรู้สึกในการใส่เสื้อผ้าแทน เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแน่น นั่นคือเราอ้วนขึ้น และเราก็ไปพึ่งยาหรืออาหารเสริมอีกเช่นเคย ทำให้ชีวิต 5-6 ปี เราวนเวียนกับน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ เราลองมาแล้วเกือบทุกชนิดที่คนบอกว่าดี ลดจริง จนวันหนึ่งเรากลัวตายเพราะทุกครั้งที่เรากลับไปพึ่งยา เราทรมานมาก เหนื่อยหอบ จึงเลิกพึ่งยาและอาหารเสริมทุกชนิด สุดท้ายน้ำหนักก็พุ่งทะยานมาที่ 73 กิโล ตอนนี้เราคิดย้อนกลับไปแล้วรู้สึกโชคดีมาก ที่ไม่เป็นบ้า หรือมีอันตรายกับชีวิตเสียก่อน

เพราะฉะนั้นแล้วเราอยากบอกว่า ยา หรืออาหารเสริม ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราผอมแบบยั่งยืน จากประสบการณ์ตรงของเรา เมื่อเราผอมเพราะยาหรืออาหารเสริมแล้วเราจะกลับมาอ้วนได้อย่างแน่นอนค่ะ เพราะนิสัยการกินเรายังเหมือนเดิม ตัวช่วยเหล่านั้นไม่ได้มาเปลี่ยนนิสัยหรือทัศนคติของเรา แต่เป็นการกดสมองให้เราไม่หิวในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น          

เราใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหนักเลข 7 มาซักพัก จุดเปลี่ยนที่ทำให้รู้ว่ามันทนไม่ไหว อยากลองลดความอ้วนดูก็คือ อายุที่ใกล้เข้าเลข 3 แต่ทำไมยังลดน้ำหนักด้วยตัวเองไม่เคยสำเร็จซะที ครั้งนี้เลยตั้งใจอีกครั้งค่ะ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะอยู่แบบอ้วนๆ ไปตลอดชีวิต ข้อแม้ที่ตั้งมาคือ จะไม่กลับไปหายาลดความอ้วนเด็ดขาด เพราะไม่อยากเป็นบ้า

วิธีแรกที่คิดออกคือ งดอาหารเย็น ถูกต้อง! งดอาหารเย็นในเวลาเกือบๆ 2 เดือน น้ำหนักลงไป 64 กิโลกรัม แต่เชื่อไหม ไม่มีคนทักเลยว่าผอมลง ตอนนั้นรู้สึกยิ่งใหญ่มาก ที่ลดได้แบบไม่พึ่งยา แต่ที่จริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดมากกกก เพราะน้ำหนักก็ขึ้นไวมากเช่นกัน

จะบอกก่อนว่า ตอนนั้นกินข้าวเช้า และเที่ยงแค่นั้น คือหลังจากเที่ยงเราจะไม่กินอะไรเลย จนถึงเช้าของอีกวัน ชั่งน้ำหนักทุกเช้า ลงวันละ 3-4-5 ขีด หลังๆ เริ่มไม่ลง ค้างที่ 64 พอกลับมากินดึก ดีดมา 68

มาช่วงปัจจุบันค่ะ เราก็อยู่กับน้ำหนัก 67-68-69 มาสองปี ขึ้นๆ ลงๆ พยายามงดอาหารเย็นอีกแต่ก็ทำไม่ได้เหมือนเดิม เพราะหิวมาก หิวทุกวัน บางครั้งทำได้สองวัน ตะบะแตก กลับมากินเยอะ มันเลยไม่ลงซะที จนวันหนึ่งได้ปรึกษารุ่นพี่มหาลัยที่เคยลดน้ำหนักสำเร็จโดยไม่พึ่งยา ก็ได้รับความรู้มากมายที่นำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นคือเราต้องไม่อด และ ไม่ใช้ทางลัดค่ะ

เริ่มต้นเลย อาหารคลีน เราคือคนหนึ่งที่กินรสจัด ถือว่าจัดมาก อย่างเช่นกินก๋วยเตี๋ยวที่ต้องปรุง เราจะใส่น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้ม 3 ช้อนโต๊ะ พริก 1 ช้อนโต๊ะ นี่คือรสชาติที่เรากินมาจนชิน ส่วนพริกน้ำปลาเวลากินอาหารตามสั่งคือตักใส่แบบคำต่อคำค่ะ เค็มมากแต่อร่อยมากในความรู้สึกของเรา ณ ตอนนั้น

เมื่อเราเริ่มกินอาหารคลีน ตอนแรกเรารู้สึกหดหู่เพราะไม่อร่อยเลย จืดชืด แต่ก็อดทนจนผ่านพ้นอาทิตย์แรก เมื่อเริ่มเบื่อก็หาวิธีที่จะกินแบบไม่เบื่อนั่นคือ เราชอบรสจัด เราก็จะใส่พริกค่ะ ใส่ไปเลย แต่พวกน้ำปลาเราจะถอยห่าง แต่ใช้ซีอิ๊วโลว์โซเดียมในปริมาณนิดเดียวเพื่อให้ไม่จืดเกินไป เมนูส่วนใหญ่ของเราเลยเป็นลาบปลา ลาบไก่ ตระกูลลาบทั้งหลายค่ะ 

อาหารที่เรากินจัดเต็มทุกมื้อ กินครบ 3 มื้อ และมีมื้อเสริมบ้างอย่างเช่น ผลไม้ กราโนล่า เวลาที่อยากกินขนมเราจะเลือกกินกราโนล่าค่ะ มันจะได้หวานๆ พอหายอยาก ที่สำคัญเราทำอาหารกินเองทุกมื้อ ตื่นเช้ามาทำอาหารเช้า และเที่ยง เย็น ไว้ไปกินที่ออฟฟิศด้วย

ส่วนการออกกำลังกายนั้นเราแยกเป็น 2 วิธีค่ะ คือ คาร์ดิโอ และ บอดี้เวท เราสลับวันกันตามคำแนะนำของรุ่นพี่ วันที่คาร์ดิโอเราจะเดิน 1.30 ชั่วโมง ที่สวนข้างออฟฟิศ และวันที่บอดี้เวทเราจะออกกำลังกายตามรุ่นพี่ที่เค้าแชร์ให้ การบอดี้เวทนี่หาไม่ยากเลยค่ะ ตามยูทูป มีให้เลือกเยอะแยะเลย ในเดือนแรกเรารู้สึกชอบการบอดี้เวทมากแม้จะปวดขาบ้างจากการสควอท แต่เราก็ผ่านมันมาได้ การบอดี้เวทของเราจะทำทั้งหมด 4 ท่า ท่าละ 4 เซท ในแต่ละเดือนจะต่างกันออกไป แต่การเดินชั่วโมงครึ่งก็ทำให้เราได้แรงบันดาลใจอะไรหลายอย่าง เพราะในสวนที่เราไปเดินเราจะเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ วิ่งกัน ทำให้เราอยากลองวิ่งดูบ้าง ทั้งๆ ที่เราเป็นคนที่เกลียดการวิ่งที่สุดในโลก รู้สึกทรมาน เหนื่อย เหมือนจะตายตลอดเวลา

ช่วงเดือนที่ 2 เราเริ่มวิ่ง ถึงแม้จะเป็นการวิ่งช้าๆ แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราก็ทำได้เหมือนกัน จากที่แต่ก่อนเราไม่เคยแม้แต่จะลอง วันนี้เราก็วิ่งต่อเนื่อง 5 กิโลได้แล้ว และสามารถลงมินิมาราธอน 10 กิโลได้ 3 รายการ แม้เวลาจะไม่ได้ดีเท่าไหร่ก็ตาม ในเดือนนี้เริ่มมีคนทักแล้วว่าดูผอมลง กำลังใจจะเริ่มมาเรื่อยๆ

การออกกำลังกายเราทำทั้งหมดสัปดาห์ละ 6 วัน พักวันอาทิตย์วันเดียว ส่วนเรื่องการกินเรามีชีทเดย์เดือนละ 1 วัน คือวันที่เราจะกินอะไรก็ได้ และการชั่งน้ำหนักอันที่จริงแล้วเราไม่ควรชั่งบ่อย เพราะเราจะยึดติดตัวเลขมากเกินไป แต่ถ้าเราชั่ง 1 สัปดาห์ต่อครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงและมีกำลังใจมากกว่าการชั่งทุกๆ วัน เพราะบางครั้งเราจะเสียกำลังใจถ้าตัวเลขในตราชั่งไม่กระดิก

ส่วนสังคมเพื่อน เราต้องบอกเลยว่าตอนนั้นเราลดการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนไปเลย และดีที่เพื่อนๆ เข้าใจ จากที่เคยนัดกินบุฟเฟต์เดือนละ 2 ครั้ง กลายเป็นว่าไม่เจอกันไปเลย 3 เดือน แต่ถ้าวันไหนที่เราเลี่ยงการเข้าสังคมสังสรรค์ไม่ได้ เราก็กินปกติค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าการลดน้ำหนักไม่ควรทรมานตัวเองเกินไป มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าเกิดตะบะแตกขึ้นมาอาจจะพุ่งกว่าเดิม เมื่อเรารู้ว่าเรากินเกินลิมิตเราก็จะมีวิธีจัดการกับความรู้สึกผิด นั่นคือวันต่อๆ ไปก็ออกกำลังกายให้มากกว่าเดิมนิดหน่อย อ้อลืมบอกไป เราชอบอาหารญี่ปุ่นมาก จะมีไปกินแซลมอนซาซิมิสัปดาห์ละครั้งเลยทำให้เราไม่รู้สึกทรมานเลย

เราปฏิบัติแบบนี้มา 3 เดือนเต็มๆ พร้อมๆ กับเริ่มสมัครวิ่งมินิมาราธอนไปเรื่อยๆ จนชั่งน้ำหนักได้ 57.7 กิโลกรัม จากน้ำหนักพีคสุด 73 แล้วเราก็กลับมากินปกติ แต่ปกติ ณ ที่นี้คือ เราลดการกินคลีนลง ไม่ได้เคร่งครัดเหมือนเดิม แต่มาทานอาหารปกติบ้าง ตามร้าน ตามห้างบ้าง คือสลับสับเปลี่ยนกันไป ส่วนการออกกำลังกายเราเน้นที่วิ่งอย่างเดียว เพราะมีความตั้งใจว่าอยากจะวิ่งให้ได้ในระยะ ฮาล์ฟมาราธอน หรือ 21 กิโล สักครั้งในชีวิต เราเลยอยากซ้อมไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่ได้บอดี้เวทเลย แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่จะลดความอ้วน อยากแนะนำให้ทำควบคู่กันไปค่ะ รูปร่างจะได้กระชับ

มาถึงตรงนี้ อยากจะบอกทุกๆ คนว่า การลดน้ำหนักแบบไม่พึ่งพายาหรืออาหารเสริม คือวิธีที่ดีและปลอดภัย แต่ใช่ว่าเราจะไม่กลับไปอ้วนอีก เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้เราลดไปแต่ยังกินแบบเดิม กินเกินความจำเป็นที่ร่างการจะนำไปใช้ ยังไงก็อ้วนอยู่ดี เพราะฉะนั้นการลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกาย และทานของที่มีประโยชน์ จึงเป็นเหมือนการช่วยเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ถ้าเราเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายได้ เราจะสุขภาพดีอย่างยั่งยืนแน่นอนค่ะ แต่อย่าลืมนะคะ ทุกอย่างต้องไม่ตึงเกินไป ใช้ชีวิตให้มีความสุข หาจุดที่พอดี ทุกอย่างจะดีแน่นอนค่ะ 

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ ของ ไม่อดอาหาร! สาวร่างอวบ ลดน้ำหนัก 10 กก. แบบไม่พึ่งยา อาหารเสริม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook