ย้อนรอยราชธานีเก่า พระนครศรีอยุธยา

ย้อนรอยราชธานีเก่า พระนครศรีอยุธยา

ย้อนรอยราชธานีเก่า พระนครศรีอยุธยา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนรอยราชธานีเก่า พระนครศรีอยุธยา

     ในวันนี้เป็นการเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เคยเป็นราชธานีเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อท่องเที่ยวในเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ถึง 400 กว่าปี และเป็นจังหวัดที่มีความตั้งใจมานานว่าจะต้องมาเที่ยว โดยส่วนตัวแล้วชอบเที่ยวในสถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์เก่าแก่ เพราะเป็นสถานที่ที่เมื่อไปสัมผัสกับศิลปะ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ในสมัยอดีต ทำให้เหมือนตกไปอยู่ในสมัยนั้นจริงๆ

     เริ่มออกเดินทางจากอาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยรถตู้ที่มีพี่คนขับสุดหล่อหัวใจเร้กเก้ เพราะเพลงที่เปิดบนรถมีแต่แนวเพลงเร้กเก้ แต่ฟังไปนานๆก็เพลินดีเหมือนกัน

     จุดหมายแรกที่จะไปก็คือร้านอาหารครัวริมน้ำ ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงและท้องก็เริ่มโหยหาของกิน เมนูมื้อนี้มี กุ้งเผา4ตัวซึ่งมีขนาดรวมแล้วหนักถึงโลกว่าๆเลยทีเดียว พล่ากุ้ง ปลาทอดกรอบ(จำชื่อปลาไม่ได้ กินเพลินไปหน่อย) ผัดผัก ต้มยำปลาม้า อร่อยมากๆแซบ... ฉู่ฉี่ และผลไม้ มื้อนี้กินไป 2 จานซึ่งน้อยกว่าปกตินะเนี่ย  ก่อนออกจากร้านอาหารไปเดินดูบ่อกุ้ง เห็นแล้วก็สงสาร แต่เนื้อของเธอก็ช่างอร่อยเหลือเกิน


     เมื่อเติมพลังแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปคือศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) ภายในมีบริเวณที่กว้างขวางและสวยงาม โดยเฉพาะทางเข้าจะมีโคมไฟหรูหราตกแต่งอยู่บนเพดาน ขนาดใหญ่กว่าประตูบ้านเราซะอีก


     หอแรกที่เยี่ยมชมคือ Gallery เป็นหอที่ใช้จัดแสดงสินค้าหัตถกรรม เช่นเซรามิก หวาย งานเซรามิกบางงานเหมือนทำจากไม้มาก และงานบางชิ้นก็น่ารัก และราคาไม่แพงมากจนเกินไป ส่วนงานที่ชอบมากคือ กระถางต้นไม้รูปสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล ราคา 221 บาท แต่เสียดายไม่ได้พกเงินมาเยอะเลยอดซื้อ แต่ถ้าวันหลังไปอีกจะต้องซื้อให้ได้


     หอที่สองที่เยี่ยมชมคือ ASEAN หอที่จัดแสดงงานที่เข้าประกวดทั้งที่ได้รับรางวัลและไม่ได้รับรางวัลของประเทศในอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ คือ กัมพูชา บรูไน พม่า ลาว เวียดนาม ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ งานแต่ละชิ้นมีความสวยงามเป็นอย่างมาก


     หอที่สามที่เยี่ยมชมคือ เครื่องทองไทย หอที่จัดแสดงเครื่องทองของไทย เป็นงานทองของช่างฝีมือดี มีความสวยงามและประณีต แสดงให้เห็นความสำคัญของทองว่ามีความสำคัญกับคนไทยมาตั้งแต่สมัยอดีตจนมาถึงปัจจุบัน

     หอที่สี่ที่เยี่ยมชมคือ หัตถศิลป์ผ้าไทย หอที่จัดแสดงผ้าไหม ผ้าฝ้าย มีผ้าทั้งเก่าและใหม่ และการประยุกต์ใช้ผ้าเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัยและสามารถนำไปใช้ได้จริง

 

     ชื่นชมกับสิ่งสวยๆงามกันเต็มอิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังวัดพระนอน หรือวัดโลกยสุธา ภายในวัดมีพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง องค์พระมีขนาดใหญ่มากและเก่าแก่ มีความยาวประมาณ 29 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน พระพักต์มีรอยยิ้มที่สวยงาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวจำนวนมาก

 

 

 

 

     จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังวัดธรรมิกราช มีวิหารพระพุทธไสยาสน์ ศิลปกรรมสมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 23-23 มาถึงก็เดินหาพระพุทธไสยาสน์ว่าอยู่โบสถ์ไหน ระหว่างเดินหาอยู่นั้นก็ได้หลงเข้าไปในฝูงน้องหมาที่กำลังเอร็ดอร่อยกับการกินข้าว และเดินเลยไปอีกก็พบน้องหมากำลังฝึกร้องเพลงอยู่โดยการส่งเสียงเห่าอยู่ตลอดเวลา และแล้วก็ค้นพบโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งโบสถ์นี้อยู่ตรงทางที่เราเดินเข้ามานั่นเอง ทั้งๆที่ป้ายก็เขียนไว้ใหญ่โตแต่ไม่มีใครสังเกตุมองเลย จึงเดินวนไปวนมาอยู่ได้ซักพัก

 


     เมื่อเข้าไปในโบสถ์ หรือวิหารพระพุทธไสยาสน์ ก่อนอื่นก็ตรงไปรับน้ำมนต์ทันทีเพื่อความเป็นสิริมงคล วัดนี้มีความทันสมัยอย่างมาก เพราะมีทั้งการทำบุญที่เป็นเครื่องหยอดเหรียญและบัตรสมาร์เพิร์ส และยังมีเครื่องทำนายดวงด้วยโปรแกรมของคอมพิวเตอร์อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีความสำคัญมากเพียงใด

     และจุดหมายต่อไปคือวัดมหาธาตุซึ่งเป็นจุดหมายสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ เพื่อไปร่วมงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกและงานกาชาด 2552 ซึ่งจะจัดตั้งแต่วันที่ 11-20 ธันวาคม 2552 ภายในงานมีซุ้มอาหารขายทั้งอาหารไทย และมุสลิม การซื้อหารจะต้องใช้เงินพดด้วงซื้อ จะมีจุดแลกเงินพดด้วงอยู่ สีทองมีค่า 10 บาท สีเงินมีค่า 5 บาท ทำให้เสมือนอยู่ในสมัยอยุธยาและทำให้สนุกสนานกับการซื้ออาหารมากเลยทีเดียว เมื่อเลือกซื้ออาหารและทานเรียบร้อยแล้ว จึงมานั่งชมการแสดง คีตศิลป์ถิ่นประวัติศาสตร์ บนตั่งเพื่อทานอาหารเสริมสิริมงคลพร้อมกับการชมการแสดง

     อาหารเสริมสิริมงคลมื้อนี้มีชื่อว่า เมนูยำเกรง คือ น้ำพริกมะขาม ผักเครื่องเคียง ผัดสายบัวใส่กุ้ง น้ำปรุงลูกสีทอง ยำถั่วพู ฝอยทอง บัวลอยสามกษัตริย์ ผลไม้ และน้ำมะยม การแสดงคีตศิลป์ถิ่นประวัติศาสตร์เป็นการแสดงแรกของงานที่เป็นการผสมผสานการแสดงระหว่าง ดนตรีไทย ดนตรีสากล และนาฏศิลป์ เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไทย ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน



     หลังชมการแสดงจบแล้วจึงไปชมการแสดงที่เป็นจุดหมายสุดท้ายและเป็นไฮไลท์สำคัญของการจัดงาน คือการแสดง แสง-เสียง ชุด กรุงศรีอยุธยา กษัตรามหาราชัน ซึ่งได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาร่วมเปิดการงาน การแสดงใช้ทั้ง คน ช้าง และม้า เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่สวยงาม เห็นถึงความฉลาดแสนรู้ของช้างไทย ม้า และให้เห็นความสำคัญของช้างและม้าว่า มีส่วนช่วยในการปกป้องแผ่นดินไทยมาช้านาน

     ทำให้เรารู้ถึงความเสียสละของกษัตริย์ไทยและคนไทยในสมัยก่อนที่ช่วยกันปกป้องชาติไทยเอาไว้ให้เป็นไทมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีชาติอื่นมารุกรานเพียงใด คนไทยก็ไม่ยอมเสียประเทศเสียแผ่นดินให้ชาติอื่นเป็นอันขาด ยอมแม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตัวเอง

     ซึ่งคนไทยในปัจจุบันไม่ได้มีความรักแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราได้กอบกู้เอาคืนมาให้เรามีประเทศเป็นของตัวเอง แต่คิดที่จะกอบโกยเอาประโยชน์เข้าตัวเองเพื่อความมีอำนาจและความสุขสบาย ทำให้นึกถึงตอนที่อยุธยาแตกเป็นครั้งที่สองเพราะคนในชาติไม่สามัคคีกัน ถ้าปัจจุบันคนไทยยังไม่สามัคคีกัน ก็จะเป็นช่องโหว่และเป็นจุดอ่อนที่ชาติอื่นมองเห็น และอนาคตอาจจะเสียประเทศไปเหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกก็เป็นได้

     แต่ถ้าคนไทยมีความสามัคคีและรักแผ่นดินของตัวเอง แผ่นดินไทยนี้ก็คงอยู่เป็นไทตลอดไป

กนิษฐา  กิ่งกังวาลย์

ขอขอบคุณ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
งานสื่อมวลชนสัมพันธ์ในประเทศ

ขอเชิญเที่ยวงาน ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก
ระหว่างวันที่ 11-20 ธันวาคม 2552 ณ อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook