กลับมาอย่างไรแม้เจ็บไป 56 ครั้ง? : อาร์เยน ร็อบเบน ...มนุษย์แก้วผู้ไม่เคยแตกสลาย

กลับมาอย่างไรแม้เจ็บไป 56 ครั้ง? : อาร์เยน ร็อบเบน ...มนุษย์แก้วผู้ไม่เคยแตกสลาย

กลับมาอย่างไรแม้เจ็บไป 56 ครั้ง? : อาร์เยน ร็อบเบน ...มนุษย์แก้วผู้ไม่เคยแตกสลาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฉายากับนักฟุตบอลคือของคู่กัน ทว่ากว่าจะได้ฉายาที่แฟนๆตั้งให้นั้นนักเตะคนนั้นจะต้องมีอะไรที่โดดเด่นขึ้นมาชัดๆจนได้ฉายา

อาร์เยน ร็อบเบน นักฟุตบอลคนดังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ และตำนานของบาเยิร์น มิวนิค เขาเป็นผู้เล่นที่มีความเร็วสูง คล่องแคล่ว แต่ได้รับฉายาว่า "เดอะ แมน ออฟ กลาสส์" หรือถ้าแปลเป็นไทยแบบที่เราเข้าใจคือ "ไอ้กระดูกยุง"  ฉายานี้แฟนๆทั่วโลกพร้อมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย และสถิติก็ยืนยันว่าตลอดการค้าแข้ง 17 ปีเขาบาดเจ็บมากถึง 56 ครั้ง

ครั้งหนึ่งผมไม่เคยเจ็บ... 

อาร์เยน ร็อบเบน เป็นเด็กที่แตกต่างจากคนอื่นตั้งแต่การเริ่มเล่นฟุตบอล พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับฟุตบอล ดังนั้นเขาจึงถูกพ่อส่งไปเรียนโรงเรียนด้านฟุตบอลโดยเฉพาะแทนที่จะเป็นโรงเรียนสามัญ พ่อของเขารู้ว่าลูกชายจะเป็นนักฟุตบอลได้ และตั้งแต่นั้นมาพ่อของเขาก็เป็นทั้งเอเย่นต์และผู้จัดการส่วนตัวของ ร็อบเบน มาจนถึงทุกวันนี้


Photo : www.tz.de

ร็อบเบน มีเป็นเด็กที่มีฝีเท้าจัดวิ่งเร็ว และเหนือสิ่งอื่นใดคือเทคนิคที่เหนือกว่ารุ่นๆเดียวกัน พ่อของเขาส่งให้ ร็อบเบน เข้าหลักสูตรฝึกนักฟุตบอลเกมรุกแบบฉบับชาวดัตช์ที่ชื่อว่า "Coerver Method" ที่เป็นหลักสูตรที่เขียนขึ้นจากโค้ชฟุตบอลที่ชื่อว่า วีล โคร์เวอร์ โดยต้นแบบคือการเอาสไตล์ของ เปเล่ และ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานลูกหนังของโลกมาวิเคราะห์และเอาจุดแข็งมารวมกัน และจุดประสงค์ คือ การทำให้ผู้เล่นเกมรุกฉบับชาวดัตช์มีความสามารถเพิ่มขึ้นมา 5 สิ่ง คือ 

1. การครองบอล

2. ส่งบอล+รับบอล

3. ต้องมีความสามารถเอาชนะแบบดวล 1 ต่อ 1

4. สปีด

5. การจบสกอร์ 

เห็นได้ชัดว่า 5 สิ่งจากหลักสูตรนี้แทบจะเป็นลายเซ็นของนักเตะตำแหน่งปีกของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ มาหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะตัวของ ร็อบเบน เอง และเด็กรุ่นตามหลังมาอย่าง ไรอัน บาเบิล, เมมฟิส เดปาย และ สตีเว่น เบิร์กไวจน์  ที่เป็นปีกประเภทจบสกอร์เองทั้งหมด 

ความแตกต่างของหลักสูตรนี้ คือ เด็กๆชาวดัตช์จะถูกฝึกตอนอายุ 8-12 ปี แต่ตัวของร็อบเบน นั้นพิเศษกว่าใครเพื่อนเพราะได้บารมีจากพ่อและพรสวรรค์ติดตัวจึงทำให้เขาได้ฝึกหลักสูตร "Coerver Method" ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น 

วันหนึ่งในช่วงที่เขาเรียนไฮสคูล ขณะที่กำลังเข้าเรียนวิชาสังคมแม่ของเขาโทรเข้ามาที่เบอร์ของโรงเรียน เพื่อตามเขากลับบ้าน และวันนั้นเองที่สโมสรโกรนิงเก้น เซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีม ซึ่ง ณ ตอนนั้น เขาอายุย่าง 16 ปีเท่านั้นเอง 


Photo : @AttitudeFoot

"แม่โทรมาที่โรงเรียนพอผมโทรกลับแม่รีบบอกว่า โกรนิงเก้น อยากจะได้แกไปอยู่ด้วย ตอนแรกที่ผมย้ายไป ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลยนะ ผมไม่เคยซ้อมกับทีมชุดใหญ่เลยด้วยซ้ำ แต่พอย้ายมาโค้ชก็จับผมนั่งบนม้านั่งสำรองของทีมชุดใหญ่และถูกส่งลงสนาม หลังจากนั้นเมื่อผมดูโทรทัศน์ และอ่านหนังสือพิมพ์ ผมก็พบว่ามีแต่ข่าวของตัวเองเต็มไปหมด" ร็อบเบน เล่าถึงการเริ่มเป็นนักฟุตบอล

การลงเล่นกับผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่หลายปีไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันหมด ยิ่ง ร็อบเบน เป็นสไตล์เลี้ยงกินตัวโชว์ใช้ทักษะเอาตัวรอดด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นเป้าให้รุ่นพี่ใช้ความหนักหน่วง ในการเข้าปะทะเพื่อหยุดเขาทั้งนั้น ซึ่งในช่วงแรก ร็อบเบน ก็โดนเตะบ้าง เอาตัวรอดได้บ้าง แต่ด้วยความที่ยังหนุ่มยังเเน่นร่างกายของเขา จึงยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้าปะทะหนัก และการใช้ร่างกายเกินอายุมากนัก

"ตอนยังเป็นดาวรุ่งผมเริ่มเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายแม้จะลากเลื้อยบ่อยแต่ ผมไม่เคยมีปัญหาบาดเจ็บเลยสักครั้งตอนที่ผมยังเป็นเด็กหรือช่วงที่เล่นในชุดเยาวชน" ร่างกายวัยหนุ่มยังเป็นสิ่งที่ ร็อบเบน จำได้ดีเพราะเขาไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่า ตัวเองจะกลายเป็นพวกนักเตะกระดูกยุง

มนุษย์แก้ว

ร็อบเบน พัฒนาฝีเท้าไวมากหลังจากได้เล่นทีมชุดใหญ่ให้โกรนิงเก้นไม่นาน เขาก็กลายเป็นสมาชิกทีมใหญ่ของประเทศอย่าง พีเอสวี แม้จะเพิ่มระดับแต่ดูเหมือนว่าฟุตบอลดัตช์ลีกจะไม่ใช่อะไรที่จากเกินกว่าความสามารถของเขา ร็อบเบน บอกว่าช่วงที่เล่นให้ พีเอสวี นั้นง่ายมาก งานของเขาแค่พาบอลเข้าไปในพื้นที่อันตรายและหาทางส่งบอลให้กับ มาเตย่า เคซมัน เพื่อนร่วมทีมชาวเซอร์เบียยิงประตูเท่านั้นเอง ทว่าที่ต่อไปของเขาต่างหากที่จะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริง...


Photo : thegoalmouthscramble.net

เชลซี ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2004 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ในยุคที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือ มูรินโญ่ อยากทำให้เชลซีเป็นทีมที่มีสมดุลเกมรุกและรับสมบูรณ์แบบ เเละเน้นเกมสวนกลับด้วยผู้เล่นอย่างริมเส้นที่มีความเร็ว เขาจึงตัดสินใจซื้อ ร็อบเบน มาร่วมทีมเพื่อเติมเต็มในส่วนนี้ 

ร็อบเบน หมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้างชื่อเสียงให้ได้ แต่ทันทีที่เริ่มลีกอังกฤษก็ทักทายเขาเสียเเล้ว ช่วง 3 เดือนแรกกับ เชลซี เขาไม่ได้ลงสนามเลย เพราะโดน โอลิวิเย่ร์ ดากูร์ต สอยที่ข้อเท้าในเกมอุ่นเครื่อง 

 "ในวัย 20 ปี คุณได้เล่นพรีเมียร์ลีก และมีเจ้านายชื่อโชเซ่ มูรินโญ่ ผมน่าจะเตรียมพร้อมให้ดีกว่านั้น เพราะเขาคาดหวังอะไรจากคุณมากๆ จากคนอื่นๆ ด้วย ทันทีทันใดเราจะรับรู้ความแตกต่างของการเล่นในพรีเมียร์ลีก เพราะต้องอึดขึ้น เข้มแข็งขึ้น รวมถึงเร็วขึ้นด้วย” ร็อบเบน กล่าวเสริมถึงเหตุการณ์ประเดิมอาการบาดเจ็บของเขา

"ผมพลาดเล่นให้ เชลซี ในช่วง 3 เดือนแรก ตอนเกมอุ่นเครื่อง ดากูร์ต มีเกมที่ไม่ดีนัก เขาโดนผมเล่นงานตลอดทั้งเกม จากนั้นเขาก็ทำตัวเหมือนเด็กๆที่เตะฟุตบอลในโรงเรียน เขาวิ่งตามผมมา และก็เล็งมาที่ข้อเท้าของผมแล้วเขาก็ตั้งใจจะหักมัน...เขาเตะผม และเขาก็โดนใบเเดง หลังจากนั้นผมก็เจอประสบการณ์ใหม่ในชีวิต"

ร็อบเบน พลาดเกมไป 3 เดือนตามที่ว่า แต่พอเขากลับมาเขาก็ต้องเจอแบบเดิม คู่แข่งตั้งใจจะเตะเขาเพื่อหยุดเกม และเขาเป็นเด็กที่หัวรั้นและเถรตรงเกินไป เขาอยากจะเอาชนะคู่ต่อสู้ในการดวล 1-1 ไม่รู้จักการใช้เล่ห์เหลี่ยมมากนัก แม้หลายครั้งความคล่องของเขา จะทำให้ทีมสร้างโอกาสเกมรุกได้มากมาย แต่ก็มีไม่น้อยที่มันทำให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวอยู่เรื่อย ข้อเท้าบ้าง, เข่าบ้าง สะโพกบ้าง.... จากเด็กเทพที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสักครั้งตอนที่เล่นใน ฮอลแลนด์ แต่ตอนนี้ ร็อบเบน ใช้เวลาส่วนใหญ่ในฐานะนักเตะที่ไม่พร้อมใช้งานเสียเเล้ว

จริงอยู่ที่ความสำเร็จของเขากับ เชลซี ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 2 ใมสมัย แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย และเเชมป์เอฟเอ คัพ อีก 1 สมัย ทว่าในทางกลับกัน มูรินโญ่ ซึ่งเป็นกุนซือที่มีแนวคิดลึกซึ้ง มองหาข้อผิดพลาดในทีมเล็กๆน้อยๆตลอดเพื่อยกระดับทีมให้มากขึ้น และเขามองว่า ร็อบเบน อาจจะคล่องแคล่ว แต่การลงเล่นแบบนัดเว้นนัดแบบนี้เขาจะไม่ใช่นักเตะที่สร้างประโยชน์ให้กับทีมในระยะยาวได้ 


Photo : bigwnews.com

"การทำงานกับ มูรินโญ่ เป็นอะไรที่ยากมาก เขาเป็นพวกไม่ชอบนักเตะที่เจ็บออดๆแอดๆ และผมเองก็เป็นนักเตะประเภทนั้น ผมเจ็บอยู่ตลอด แทบไม่ได้ลงเล่นแบบต่อเนื่องเลย ที่อังกฤษนอกจากเกมจะหนักแล้วโปรเเกรมยังเเน่นด้วย มันเป็นอะไรที่บ้ามากๆเพราะแม้แต่วันคริสต์มาส ครอบครัวของผมยังทำได้แค่นั่งดูผมผ่านโทรทัศน์เท่านั้นเอง... ผมหายเจ็บกลับมา ผมได้ลงเล่นในระดับสูงอีกครั้ง แล้วผมก็เจ็บอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่โชคร้ายจริงๆ"

มูรินโญ่ เองก็เคยว่าไว้เมื่อปี 2005 ว่าเขาเบื่อกับอาการบาดเจ็บของร็อบเบน และไม่เข้าใจว่านักเตะคนนี้ใจเสาะเกินไปหรือเปล่า บางครั้งหมอในทีมลงมติว่าเขาสามารถลงเล่นได้ แต่เขากลับขอเลื่อนเพื่อให้ร่างกายฟิตและพร้อมจริงๆก่อนจึงค่อยลงเล่น แน่นอนคนอย่าง มูรินโญ่ ไม่เคยง้อใคร

"ไม่มีข้อสรุปเลยกับอาการบาดเจ็บของ ร็อบเบน... ผมบอกได้อย่างเดียวว่าเขาเจ็บหนักพอดู เขาเดินลงน้ำหนักไม่ไหว กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ แม้แต่ทีมแพทย์ของเราก็ยังไม่เข้าใจว่า มันเกิดจากอะไรกันแน่” มูรินโญ่ กล่าว 

จะเล่นแบบเดิมไม่ได้ 

หลังจากนั้น มูรินโญ่ ก็ขาย ร็อบเบน ให้กับ เรอัล มาดริด ในปี 2007 ที่ เบอร์นาเบว ร็อบเบน คาดหวังว่าตัวของเขานั้นจะกลายเป็นผู้เล่นที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะปะทะกับนักเตะเกมรับของทีมอื่นๆที่ลดน้อยลงกว่าสมัยเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก ร็อบเบน ออกสตาร์ทได้ดีจนกระทั่งเริ่มมีเหตุการณ์บาดเจ็บเข้ามาเยือนอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูกาล 2007-08 ที่เขาออดๆแอดๆรวมกันเป็นระยะเวลามากกว่า 4 เดือน มันทำให้เขาพลาดเกมไปทั้งหมด 10 เกม... นั่นถือว่านานโขสำหรับทีมที่มีนักเตะพร้อมทดแทนกันตลอดอย่าง มาดริด 


Photo : nikolaszaf.blogspot.com

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของเกมการเมืองในสโมสร ฟลอเรนติโน่ เปเรซ เข้ามาเป็นประธานสโมสร เเละต้องการที่จะสร้างทีมด้วยนักเตะระดับซูเปอร์ตาร์ ซึ่งนั่นจำเป็นจะต้องหาเงินก้อนโตมาเติมกับงบประมาณที่วางไว้ และ ร็อบเบน ที่ไม่มีราศีสตาร์, และ ขายได้ราคา จึงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดนขายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในเวลาช่วงปี 2009-10

จริงๆแล้วปัญหาอาการบาดเจ็บและร่างกายของเขาก็ไม่เคยจากไปไหนเลย ร็อบเบน พยายามหาวิธีที่ที่จะทำให้ตัวเองบาดเจ็บน้อยที่สุดหลายวิธี อย่างแรกเขาพยายามที่ตั้งสมาธิก่อนลงสนามว่า "วันนี้ห้ามเจ็บ" ดังนั้นมันจึงเป็นที่มาที่ทำให้ ร็อบเบน มักจะถูกล้อเลียนว่าเขาเป็นนักเตะที่ชอบพุ่งล้ม ซึ่งที่มาของการพุ่งล้มนั้นง่ายนิดเดียวเพราะเขาต้องการลดแรงปะทะ และถนอมร่างกายสำหรับระยะยาว และที่สำคัญที่สุด คือ มันทำให้ทีมได้ประโยชน์จากลูกตั้งเตะอีกด้วย 

“ผมพยายามทำความรู้จักกับร่างกายตัวเองให้ดีขึ้น พยายามหาวิธีดูแลมันให้ใช้การได้นานๆ หลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด นักเตะเเต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลย แต่กับผมเนี่ยมันคนละแบบ ผมต้องทำสิ่งที่แตกต่างกับคนอื่นเยอะ ต้องดูแลตัวเองมากกว่านักฟุตบอลคนอื่นทั่วไป"  ร็อบเบน กล่าว 

ไอเดียพุ่งล้มและมีสมาธิกับการเล่นของตัวเองสำหรับ ร็อบเบน นั้นเขาเริ่มคิดได้หลังจากที่ในช่วงปี 2010 เพราะในตอนนั้น ร็อบเบน ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค กับ ราชสมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ หลังจากที่เขาไปเล่นเกมทีมชาติในช่วงปิดฤดูกาลจนได้รับบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายพักยาว 3 เดือน    

"แน่นอนที่สุดสำหรับเรื่องนี้ บาเยิร์น มิวนิค โกรธ ส.บอล มาก พวกเขาจะต้องชดใช้เราด้วยเงินก้อนโต เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่พวกเขาเอานักเตะเราไปเจ็บหนักจากเกมทีมชาติ"  คาร์ล ไฮน์ รุมมินิกเก้ บอร์ดบริหารของเสือใต้ออกโรงกล่าวแบบฉุนเฉียว  


Photo : primesportsnet.com

ความผิดตกมาอยู่ที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ใช้นักเตะแบบไม่ดูแล ทั้งบาเยิร์นและเนเธอร์แลนด์ มีเรื่องเถียงกันอยู่พักใหญ่ จนสื่อในเนเธอร์แลนด์ ไม่พอใจและเริ่มตั้งฉายาแนวล้อเลียนร็อบเบนว่า "เดอะ กลาสส์ แมน" เพราะว่าเป็นนักเตะที่บอบบางมากเพียงแค่โดนเเตะตัวก็พร้อมจะบาดเจ็บได้เสมอ สำหรับ ร็อบเบน นี่เป็นเรื่องใหญ่เขารู้สึกว่าตัวเขาถูกจิกกัดจนเกิดเหตุ ทั้งนี้เขายังโกรธร่างกายตัวเองด้วยที่มันเจ็บง่ายเงินกว่านักเตะธรรมดาทั่วไป

"ในเวลาที่ได้ยินคนบอกว่าขาของคุณทำมาจากแก้ว มันทำให้ผมโกรธมาก เพราะผมรู้สึกว่าผมควรต้องปกป้องตัวเองบ้าง จริงๆผมก็ไม่ได้อยากเจ็บพร่ำพรื่อแบบนั้นหรอก มันเป็นคำพูดหลอนประสาทที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าร่างกายของผมมีอะไรผิดปกติ" 

การบาดเจ็บครั้งนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวของ ร็อบเบน มากขึ้น จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่ได้กลายเป็นนักเตะที่เล่นได้ตลอดทั้งฤดูกาลโดยที่ไม่เจ็บไม่ป่วยเลย แต่กลับกันเมื่ออายุมากขึ้น เขากลับเล่นได้ดีและเเข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการใช้การพุ่งล้มเพื่อเซฟตัวเองเเล้ว เขายังมองไปถึงการรักษาเนื้อรักษาตัวนอกสนามด้วย

เพื่อนซี้ผมเป็นหมอ.... 

จริงๆแล้วการจัดการตัวเองนอกสนามของ ร็อบเบน เพื่อลดอาการบาดเจ็บนั้นมีตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่กับ เรอัล มาดริด เเล้วเมื่อเขาพบว่าตัวเองเจ็บบ่อย เขาจึงเริ่มศึกษาข้อมูลและสนิทกับนักกายภาพของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ อย่าง ชู ลา ลิง  ตั้งแต่เริ่มได้รับบาดเจ็บบ่อยๆตอนอยู่ที่ เรอัล มาดริด แล้ว ซึ่งหมอ ชู ดูแล ร็อบเบน อย่างดี ไม่ใช่ในฐานะลูกค้า แต่มันเป็นในฐานะเพื่อน ซึ่งหลังจากพบกับหมอชูในปี 2009 ร็อบเบน กลับมาลงสนามในเกมลีกได้มากที่สุดในรอบ 5 ปี 


Photo : www.telegraph.co.uk

"การรักษาของผม บอกได้ว่าต่างจากทีมแพทย์ของเรอัล มาดริด ผมใช้เวลาแค่ 1 อาทิตย์ ขณะที่ทีมแพทย์ของ เรอัล ใช้เวลาเดือนกว่า ร็อบเบน จะหายขาดผมกล้ายืนยัน” 

“สำหรับนักฟุตบอลแล้ว บางครั้งเราต้องศึกษาว่าตัวเองมีลักษณะเฉพาะของโครงสร้างทางร่างกายอย่างไร แล้วค่อยเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเขาหายเป็นปกติ เขาจะกลับมาเป็นขวัญใจของใครอีกหลายๆคน การลงทุนของ เรอัล มาดริด คุ้มค่าสำหรับนักเตะคนนี้" หมอ ชู กล่าว 

ไม่ใช่แค่หมอชูเท่านั้น เขายังรู้จักกับหมอนวดสายจับเส้นและกล้ามเนื้ออีกหลายคนตั้งแต่อยู่ สเปน และยังทำติดต่อกันเรื่อยมา และมันทำให้อดีตนักเตะที่ถูกมองว่าจะไม่สามารถเติบโตเป็นนักเตะที่ดีได้เพราะอาการบาดเจ็บ สามารถลงเล่นได้ในระดับสูงจนถึงปี 2019 เหมือนอย่างที่เขาเป็น

"ผมเริ่มให้ความสำคัญและทำงานร่วมกับหมอจับเส้นมาตั้งแต่ในช่วงปี 2009 ที่อยู่กับ เรอัล มาดริด เเล้ว เขาอธิบายว่าร่างกายของผมคล้ายกับรถฟอร์มูล่า วัน แม้จะเร็วมากแต่ถ้ามีน็อตตัวเล็กๆที่ขันไม่แน่นสนิท รับรองได้ว่าเครื่องยนต์จะระเบิดขึ้นแน่นอน กล้ามเนื้อของผมต้องทำงานให้ได้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และต้องขอบคุณหมอๆทั้งหลายที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้" ร็อบเบน กล่าวในวัย 34 ปี 

ยิ่งเมื่อมาถึงที่ บาเยิร์น เเล้ว ร็อบเบน ได้เจอกับ ฮันส์ วิลเฮล์ม มุลเลอร์ โวล์ฟฟาร์ธ หรือที่รู้จักกันในฉายา "หมอเทวดา" ที่เคยรักษาโรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติ บราซิล มาเมื่อครั้งอดีต ร็อบเบน ยิ่งดูเป็นคนละคน จากที่เคยเป็น เพราะการดูแลจากหมอเทวดาในทุกขั้นตอน

"ผมยังจำได้ดี อูลี่ เฮอร์เนส เดินมาหาผมและบอกว่าเราจะซื้อ อาร์เยน ร็อบเบน ช่วยดูให้หน่อยว่าเขาเล่นได้หรือเปล่า? ผมตอบโอเค ผมพบกับร็อบเบนครั้งแรกและตรวจดูอะไรนิดหน่อย เท่านั้นแหละผมกล้าบอกกับ เฮอร์เนส ได้เลยว่า "คุณจ่ายเงินซื้อเขาได้เลย ผมรับผิดชอบเรื่องอาการบาดเจ็บของเขาเอง"

"การดูแลนักเตะอย่างร็อบเบนต้องละเอียดมาก เขาเป็นเครื่องยนต์ที่เร็วและแรงดังนั้นทุกอย่างที่ทำกับเขาจะต้องถูกต้อง ผมตรวจเขาทุกครั้งก่อนเกมจะมาถึง ทดสอบทุกอย่าง เขาต้องผ่านเกณฑ์ของผมเขาถึงจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง" หมอเทวดา กล่าว 


Photo : timesofmalta.com

สถิติการลงเล่นของ ร็อบเบน ในช่วงที่เล่นให้กับ บาเยิร์น สูงมาก เขามีส่วนร่วมแทบจะทุกเกม มีเพียงฤดูกาล 2010/2011 ที่ลงเล่นน้อยมากไม่ถึง 20 นัด และฤดูกาล 2012/2013 ที่มีทั้งเจ็บกับเสียตำแหน่งตัวจริงให้โทมัส มุลเลอร์ ทำให้มีขาดช่วงไปบ้าง  แต่แน่นอนเขาคือคนสำคัญของทัพเสือใต้ในแบบที่ทีมขาดไม่ได้ จากนักเตะที่ทุกคนสงสัยว่าซื้อมารักษา เขาก็กลายเป็นนักเตะที่บอร์ดบริหารพยายามจะต่อสัญญาอยู่ตลอด หากสัญญาใกล้จะหมดลง

"เมื่อมีคนบอกเราว่า ร็อบเบน ยืนระยะถึงทุกวันนี้ได้เพราะการดูแลรักษาของ บาเยิร์น เขาได้รับสัญญาก้อนโตมันทำให้ผมรู้สึกดีมาก คำชมเหล่านั้นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุด" หมอ โวล์ฟฟาร์ธ กล่าว   

นอกจากสไตล์การเล่น และการดูแลร่างกายเเล้ว ร็อบเบน ยังพยายามสร้างแรงกระหายให้กับตัวเองตลอด เขาพยายามทำตัวเองให้ฟิต เพื่อลบคำสบประมาทว่าเขาไม่สามารถลงเล่นต่อเนื่องได้  และสิ่งที่เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองที่สุด คือการโดนเรียกว่า "เดอะ แมน ออฟ กลาสส์" 


Photo : bayernstrikes.com

"จริงๆแล้วผมก็เพิ่งเข้าใจนะ มันไม่ได้เกี่ยวว่าผมอ่อนแออะไรเลยกับฉายานั้น ผมแค่มีร่างกายที่บอบบางในบางช่วงเวลา เมื่อโตขึ้นผมคิดได้ผมมั่นใจว่าผมไม่ผิดอะไรเลยที่ร่างกายผมเป็นแบบนี้ แค่ต้องดูแลร่างกายให้ต่างกับคนอื่นๆ แล้วผมก็คิดว่าตอนนี้ผมพิสูจน์ตัวเองได้นะ สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนที่ได้หัวเราะในท้ายที่สุด"  ร็อบเบน กล่าว 

เมื่อมีคนถามว่า อาร์เยน ร็อบเบน ในวัยรุ่นตอนโดนวิจารณ์ที่เชลซี กับ อาร์เยน ร็อบเบน ในวัยเก๋าที่บาเยิร์นนั้น แตกต่างกันอย่างไร ร็อบเบน ตอบแบบสั้นๆว่า

"ก็แก่ขึ้นกับเส้นผมบางลงเท่านั้นแหละมั้ง” เขาหัวเราะปิดท้าย และประกาศเลิกเล่นฟุตบอล อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook