เจมส์ มิลเนอร์ : แข้งธรรมดาที่ไหลผ่านกระแสฟุตบอลโดยใช้ทัศนคติเป็นเข็มทิศ

เจมส์ มิลเนอร์ : แข้งธรรมดาที่ไหลผ่านกระแสฟุตบอลโดยใช้ทัศนคติเป็นเข็มทิศ

เจมส์ มิลเนอร์ : แข้งธรรมดาที่ไหลผ่านกระแสฟุตบอลโดยใช้ทัศนคติเป็นเข็มทิศ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การดูแลตัวเองและทัศนคติของผู้ชนะในโลกฟุตบอล มีตัวอย่างที่ทุกคนมองเห็นได้ชัดนั่นคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

ในวัย 36 ปี เขายังลงเล่นในระดับสูง มีมาตรฐานการเล่นระดับที่เด็กรุ่นน้องยังต้องอาย ยังกระหายชัยชนะ และยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ... นี่คือเหตุผลที่ โรนัลโด้ อยู่ในสปอตไลท์เสมอ 

อย่างไรก็ดี เรื่องเช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับนักเตะอีกคนที่ไม่เด่นและไม่ดังเท่าอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 36 ปี

กำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่โค้ชมองหาเมื่อทีมต้องการใครสักคนมาช่วยแก้ปัญหา และเป็นคนที่ไม่เคยทำให้เพื่อนร่วมทีม เจ้านาย และแฟนบอลผิดหวัง 

ตั้งแต่เป็นสุดยอดดาวรุ่งกับ ลีดส์ ลากยาวมาจนบทบาทจอมเก๋าแห่ง ลิเวอร์พูล อะไรที่ทำให้เขาโดดเด่นในแบบของเขาเสมอ ติดตามทัศนคติที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครของ เจมส์ มิลเนอร์ ได้ที่นี่

ไหลไปตามสภาพแวดล้อม

เจมส์ มิลเนอร์ เป็นนักเตะที่ไม่เหมือนใครและเป็นนักเตะที่โค้ชทุกคนอยากมีคนแบบเขาอยู่ในทีม สิ่งนั้นคือ "ความเอนกประสงค์" หรือสามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ

 

อย่างที่เรารู้กันฟุตบอลเป็นเรื่องของแทคติกและการเล่น ทีม 1 ทีมจะมีนักเตะให้ใช้งานได้ตลอดทั้งปีราว 20 คนรวมทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ตลอดการแข่งขัน 1 ฤดูกาลจะใช้เวลาร่วม 10 เดือน และเป็น 10 เดือนที่รากเลือดมาก โดยเฉพาะกับฟุตบอลอังกฤษ พวกเขาต้องเล่นเกมลีก เกมบอลถ้วยในประเทศ 2 รายการ และฟุตบอลยุโรป ไหนจะด้วยวิธีการเล่นที่ถึงลูกถึงคน ดังนั้นอาการบาดเจ็บของนักเตะจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ปี ๆ หนึ่งจะมีนักฟุตบอลหลายคนที่บาดเจ็บและลงเล่นไม่ได้ บางคนเจ็บปีละหลาย ๆ รอบ แต่สำหรับ เจมส์ มิลเนอร์ นั้นแตกต่างออกไป เขาคือ "คนเหล็กอเนกประสงค์" ที่มีความทนทานเป็นพิเศษ เจ็บป่วยน้อยครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาฟื้นตัวไม่นาน และที่สำคัญเขาเล่นได้หลากหลายแล้วแต่แทคติกที่เจ้านายวางไว้

 

ประการแรก มิลเนอร์ นั้นเริ่มอาชีพมาจากตำแหน่งริมเส้น แม้จะเป็นปีกยุคเก่าที่เน้นลากสุดเส้นแล้วเปิดเข้ากลาง แต่ มิลเนอร์ เป็นคนที่เล่นฟุตบอล 2 เท้าได้ดี ดังนั้นในช่วงเวลาวัยรุ่นกับ ลีดส์ และ นิวคาสเซิล เราแทบจะเดาตำแหน่งของเขาไม่ออกเลย บางเกมเขาก็ไปยืนทางซ้าย บางวันเขาก็ไปรับบทบาทเป็นปีกขวา และเมื่อทีมลงเล่นในระบบกองหลัง 3 ตัว มิลเนอร์ ก็สามารถถอยมาเล่นวิงแบ็คได้อีก 

การเล่น 2 เท้าเป็นปัจจัยหลัก และสิ่งที่เสริมขึ้นมาคือเขาเป็นนักเตะที่ไม่ทำให้ทีมเสียประโยชน์ในเวลาที่ต้องเล่นเกมรับ มิลเนอร์ เป็นประเภทวิ่งสุดแรง ขึ้นสุดลงสุด ช่วยลงมาซ้อนผู้เล่นตำแหน่งฟูลแบ็ค ทำให้งานในเกมรับทำได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ทีมเสียประตูยากขึ้น ... สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ภายในประโยคเดียวคือ มิลเนอร์ คือนักเตะประเภท "เล่นเป็นทีมได้ดีที่สุด"

สิ่งนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกัน นักเตะอย่าง มิลเนอร์ อาจจะไม่เหมาะกับทีมที่ต้องการเล่นโดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการทะลวงแนวรับคู่ต่อสู้ เพราะเขาไม่ได้เร็วเหมือนจรวด ไม่ได้เทคนิคดีล้ำเลิศเหมือนที่ปีกระดับโลกคนอื่น ๆ เป็น ดังนั้นหลังจากผ่านช่วงวัยรุ่นไป มิลเนอร์ ก็เริ่มมาเจอตำแหน่งใหม่ของเขาในการเป็นกองกลางสไตล์ Box To Box ที่มีหน้าที่หลักครอบคลุมเกมทั้งเกม ช่วยทั้งเกมรุกและเกมรับ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับตัวตนของเขามากกว่า

 

กุนซือคนที่หันมาใช้งานเขาจริง ๆ จัง ๆ ในเเดนกลางคือ มานูเอล เปเยกรินี่ สมัยที่ทำงานด้วยกันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปเยกรินี่ นั้นเป็นกุนซือที่นิยมนักเตะเกมรุกเทคนิคดี เราจึงได้เห็นนักเตะอย่าง ดาบิด ซิลบา, ซามีร์ นาสรี และ เซร์คิโอ อเกวโร เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่า มิลเนอร์ เป็นนักเตะไม่เหมือนใครและทีมของเขาต้องการนักเตะอย่าง มิลเนอร์ จนต้องหาที่ลงให้ได้ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายถึงการเป็นกองกลางร่วมกับ ยาย่า ตูเร่, แกเรธ เเบร์รี่ และ เเฟร์นันดินโญ่ ตามแทคติกที่เหมาะสมในแต่ละเกม

"ผมพูดจริง ๆ มีนักเตะอีกเยอะเลยที่สามารถครองบอลได้ดีกว่า เทคนิคดีกว่า และวิ่งเร็วกว่า เจมส์ มิลเนอร์ แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะหาผู้เล่นสักคนที่สามารถใช้คำว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างที่ มิลเนอร์ เป็น" เปเยกรินี่ อธิบาย 

 

"เขาพิเศษแบบไหนน่ะเหรอ ? เอาเป็นว่าผมสั่งให้เขาไปเล่นตรงไหนเขาก็เล่นได้ดีเสมอ ชอบหรือไม่ชอบไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อคุณสั่ง เขาจะทำตาม"

"เขาทำได้ดีมากในตำแหน่งฟูลแบ็ค และแน่นอนเขาไม่ชอบเล่นตรงนี้ เขาเล่นได้ทุกที่ตั้งแต่กองกลางตัวรุก, กลางรับ, กลางตัวทำเกม แม้กระทั่งกองหน้าผมก็เคยใช้เขามาเเล้ว เเละเขาก็ยิงได้สัก 3-4 ลูกถ้าผมจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ยิ่งใหญ่มาก ๆ ในแง่ความเป็นมืออาชีพ ฉลาด ทัศนคติยอดเยี่ยม เท่าที่ผมเคยเจอ"

 

นอกจากความเอนกประสงค์แล้ว ทั้งหมดที่ เปเยกรินี่ กล่าวมา เราจะเห็นได้ว่า มิลเนอร์ เปรียบเหมือนกับ "แมลงสาบ" นี่คือสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิดที่หลงเหลือมาจากยุคไดโนเสาร์ ไม่พิเศษกว่าใคร ไม่ได้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ทุกครั้งที่สิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง แมลงสาบปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง 

คุณจะเห็นได้ว่า มิลเนอร์ นั้นผ่านฟุตบอลมาตั้งแต่ต้นยุค 2000s ยุคที่ทีมส่วนใหญ่ยังเป็นบอลโบราณเล่นไดเรกต์ เปิดบอลให้ไปวัดกันที่ลูกกลางอากาศ เขารับผิดชอบตำแหน่งริมเส้นที่เป็นส่วนสำคัญมากในการสร้างเกมรุก, ในยุค 2010 ยุคที่เอาชนะกันด้วย "เบสิก" นั่นคือการผ่านบอลง่าย ๆ แต่มีประสิทธิภาพ และการแย่งชิงบอลกลับมาให้ทีมเป็นฝ่ายบุก มิลเนอร์ ก็ขยับเข้ามาเป็นกองกลางที่รับตำแหน่งนั้น, ในวันที่เขาย้ายมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ใหม่ ๆ และมี เยอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาเป็นกุนซือ ทีมไม่มีแบ็คซ้ายที่ขึ้นเกมรุกได้และเข้าใจแทคติก มิลเนอร์ ก็สามารถเป็นแบ็คซ้ายที่สมบูรณ์แบบให้กับ คล็อปป์ ได้เช่นกัน 

แม้กระทั่งตอนนี้ฟุตบอลยุคใหม่ที่แพ้ชนะกันด้วยพลังในเเดนกลาง มิลเนอร์ ก็กลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในตำแหน่งนี้ และเมื่อมันกลายเป็นงานประจำ เขาก็พัฒนาจากที่เคยเป็นตำแหน่งที่ไม่ถนัด กลายเป็นตำแหน่งที่เขาชอบที่สุดไปเสียเเล้ว 

 

“จะให้ผมตอบว่าผมเก่งตำแหน่งไหนที่สุดมันก็ค่อนข้างจะบอกยาก แต่ในแง่ของผลงานนั้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นกองกลางนะ" มิลเนอร์ พูดถึงความเอนกประสงค์ของเขาก่อนจะขยายความต่อ

 

"แต่ถึงอย่างนั้นคุณจำเป็นต้องเล่นในที่ที่คุณถูกขอให้เล่น เมื่อคุณอยู่ในทีมที่ต่างออกไป แต่ละทีมก็ต้องการสิ่งที่แตกต่างกันจากคุณ คุณต้องหาวิธีที่จะเข้ากับทีมให้ได้ และเปลี่ยนตัวเองให้เป็นฝ่ายที่ทีมต้องการตัว" 

การอยู่ข้ามยุคข้ามสมัยคือสิ่งที่ยืนยันว่า มิลเนอร์ ปรับตัวได้หลายอย่างโดยดูจากตำแหน่งการเล่น และเมื่ออายุมากขึ้นเขาก็พัฒนาตัวเองและหาวิธีการเล่นที่เหมาะสมให้กับตัวเอง เขาออกกำลังกายอย่างนักจนร่างกายของเขาสามารถรับมือกับวิธีการเล่นของฟุตบอลยุคใหม่ที่ต้องวิ่งเยอะ วิ่งทั้งเกม ซึ่งนักเตะในวัยอย่างเขาน้อยคนจะทำได้ 

"ผมคิดว่าผมค่อนข้างมีโชคกับการบาดเจ็บต่าง ๆ และผมมักจะพยายามทำอะไรก็ตามเท่าที่ทำได้เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาในเรื่องอาหารและการทำงานในโรงยิม ผมทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงต้น ๆ กับลีดส์และนิวคาสเซิล ในเรื่องการเข้ายิมอะไรแบบนั้น แล้วก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ"

"ผมแค่พยายามจะผลักดันตัวเอง ก่อนหน้านี้ในอาชีพของผมอาจจะสัก 5-6 ปีก่อน คนอื่น ๆ อาจจะบอกว่า ‘คุณจะต้องประคองการทำงานของคุณในการฝึกซ้อม ลดจำนวน และปริมาณการฝึกซ้อมเพื่อยืดอายุการเล่น’ และผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เลยจริง ๆ"

 

คุณได้เห็นเเล้วในทุกวันนี้ นักเตะวัย 36 ปี ไล่บดแดนกลางและใช้สมองเล่นพร้อม ๆ กับร่างกาย ใช้การอ่านเกมลดการต้องออกแรงวิ่ง เเต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องวิ่งกวดเต็มฝีเท้าเขาก็มีพลังมากพอที่จะทำแบบนั้น 

ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เกน คล็อปป์ เติบโตขึ้นทุกวันนับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมในปี 2015 ... นักเตะหลายคนที่ไม่ดีพอทั้งร่างกายและทัศนคติต้องย้ายออกไปหลายคน เหลือเพียงหยิบมือจากทีมชุดแรกตอนที่เขาเข้ามาและยังอยู่กับทีมในตอนนี้ ... และ เจมส์ มิลเนอร์ คือหนึ่งในยอดขุนพลที่คล็อปป์มักจะเอ่ยปากชมอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม

ทัศนคติดี โกรธง่าย หายเร็ว

ไม่มีชีวิตการทำงานอาชีพไหนที่จะไม่เคยเจอกับเรื่องที่ไม่ถูกใจและชวนให้อึดอัด มิลเนอร์ เองก็เป็นคนขี้โมโหคนหนึ่งเหมือนกัน แต่การโมโหของเขานั้นเป็นการโกรธง่าย หายเร็ว หากว่าเขาได้คำอธิบายที่มีเหตุผลมากพอ 

สมัยอยู่กับ นิวคาสเซิล ที่มีกุนซือเป็น แกรม ซูเนสส์ นั้น มิลเนอร์ เคยโดน ซูเนสส์ พาดพิงผ่านสื่อว่า "คุณไม่มีวันชนะหากมีนักเตะอย่าง มิลเนอร์ อยู่ในทีม" ซึ่งใจความที่ ซูเนสส์ จะสื่อคือ ปีกอะไรทื่อเหมือนกับหุ่นยนต์ ไม่มีลูกพลิกแพลงในการดวล 1-1 เลย 

ตอนแรก มิลเนอร์ โกรธมาก เขาไม่ปฏิเสธว่าเป็นความเจ็บปวดครั้งใหญ่ แต่แทนที่จะกลัดกลุ้มเจ็บใจ เขาเลือกที่จะทำงานให้หนักขึ้น หนักขึ้น และหนักขึ้น เมื่อโอกาสมาถึงก็รีบคว้าติดมือทันที สิ่งสำคัญคือทำมันด้วยความสม่ำเสมอตามแบบฉบับของเขา

 

"ใช่ มันหนักหน่วงสำหรับเด็กวัยนั้น แต่ผมเชื่อว่า แกรม ไม่ได้มีเจตนา อาจเป็นเรื่องการตีความมากกว่า ทุกวันนี้เราพูดคุยกันตามปกติ ผมยังเคารพเขาเสมอ" มิลเนอร์ ว่าไว้ 

แม้กระทั่งช่วงเวลาที่เขาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล หลังจากหมดสัญญากับ แมนฯ ซิตี้ มิลเนอร์ เองก็โกรธคล็อปป์เหมือนกัน ที่ไม่ยอมใช้งานเขาในตำแหน่งที่ถนัด เขาเคยเกือบจะย้ายทีมหนีเเล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อ คล็อปป์ มาบอกกับเขาตามตรงว่าทีมต้องการนักเตะตำแหน่งนี้มาก หากเขายอมทำงานหนัก คล็อปป์ รับรองว่า มิลเนอร์ จะได้เป็นตัวจริงสม่ำเสมอ จากนั้นความโกรธก็กลายเป็นพลัง ทำให้เขากลายเป็นตัวหลักตามสัญญา 

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นอีกครั้งที่ คล็อปป์ ออกมาบอกด้วยตัวเองว่า เขาเคยถูก มิลเนอร์ เข้ามาโวยหลังจากที่เปลี่ยนตัว มิลเนอร์ ออกหลังจากเริ่มครึ่งหลังไปได้ไม่นานทั้ง ๆ ที่ มิลเนอร์ ก็ทำตามแทคติกที่ คล็อปป์ บรีฟมาทุกอย่าง ในเกมกับ  เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อปี 2020 

"เขาไม่ได้ไม่มีความสุข ตอนพักครึ่งเราปรับแผนนิดหน่อย ครึ่งแรกมิลลียืนต่ำคล้ายตำแหน่งเบอร์ 6 คู่กับจินี (ไวจ์นัลดุม) ขณะที่ติอาโก้ยืนสูงกว่า มิลลีมีอาการเจ็บแฮมสตริงเล็กน้อย เราจึงบอกให้เขาคอยคุมเกม จ่ายบอลให้มากกว่าวิ่ง" คล็อปป์ กล่าว 

"แต่เราเปลี่ยนตัวเขาออก เราแค่รอให้เคอร์ติสอบอุ่นร่างกายให้พร้อม จากนั้นผมเห็นมิลลีวิ่งสปรินต์ไกลมาก ผมคิดว่าเราพลาดจังหวะนั้นไป ผมกังวลมาก ๆ"

"เขาออกมาจากสนามแล้วพูดว่า 'คุณบอกให้ผมลงมายืนต่ำและวิ่งให้น้อย แต่คุณก็เปลี่ยนตัวผมออกเนี่ยนะ' จากนั้นเขากลับมาหาผม (หลังเห็นประตูของซาลาห์) และพูดว่า 'มีเหตุผล ตัดสินใจได้ดี ทุกอย่างโอเค'”

ความโกรธของ มิลเนอร์ จบลงง่าย ๆ ด้วยเหตุผลที่หนักแน่น หากทีมได้ประโยชน์ เขารับได้ทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่เขาจะทำประโยชน์ให้กับทีม แม้กระทั่งบทบาทตัวสำรอง แม้เขาจะเกลียดการเป็นตัวสำรองขนาดไหน เขาก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม... 

"ตำแหน่งเดียวที่ มิลเนอร์ จะโกรธมากถ้าคุณสั่งให้เขาไปอยู่ คือการให้เขาไปนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง เขาจะโกรธและโมโห แต่เมื่อเกมเริ่ม ผมท้าให้คุณไปสังเกตพฤติกรรมของเขาได้เลย เขาจะเฝ้าดูเกมอย่างใจจดใจจ่อ ตะโกนให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม มองหาเหตุผลว่าทีมต้องการอะไร ทำไมเขาจึงไม่ได้ลงสนาม ... และในการซ้อมหลังจากเกมนั้นเขาจะฆ่าจุดอ่อนของตัวเองที่เขามองเห็นภายใน 95 นาที"

"นี่แหละ เจมส์ มิลเนอร์ ไม่มีใครทำซ้ำได้สำหรับนักเตะแบบนี้ ฉลาด ใจกว้าง และหัวใจใหญ่ยิ่งกว่าตับ" สิ่งที่ เปเยกรินี่ บอกตอบได้ทุกอย่างเกี่ยวกับทัศนคติของเขา 

ชีวิตการทำงานต้องมีการเห็นต่าง โกรธกัน และไม่ชอบวิธีที่บางคนปฏิบัติต่อเราบ้าง แต่ที่สุดเเล้วหากคุณเป็นมืออาชีพมากพอ คุณจะสามารถตัดสินเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยเหตุผลเสมอ 

การคำนึงถึงผลลัพธ์ของทีมของ มิลเนอร์ นำมาสู่การเก็บผลการแข่งขันที่ทีมต้องการได้บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการโกรธและโมโหเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ แต่จะใจกว้างพอที่จะพิจารณาความโมโหนั้นด้วยเหตุผลหรือไม่ 

โกรธง่าย หายไว ใช้เหตุผล และ งานเดินได้อย่างไร้รอยต่อ ... นักเตะแบบนี้มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อทีม แล้วคุณยังจะแปลกใจอีกไหมที่ มิลเนอร์ ยังคงเป็นคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล อยู่ในเวลานี้

ทำหน้าที่ของพี่ใหญ่ 

ในวัย 36 ปี ไม่มีใครปฏิเสธว่านี่คือช่วงปลายอาชีพของเขาเเล้ว นักเตะหลายคนเริ่มปรับตัวกับการเป็นซีเนียร์ และไม่ใช่ทุกคนจะทำหน้าที่นี้ได้ดีนัก 

ซีเนียร์ ที่ดีคือคนที่ผลักดันทีมให้ไปข้างหน้า กล้าพูดกับนักเตะที่อายุน้อยกว่าให้เห็นความผิดพลาดของพวกเขาจากประสบการณ์ที่ตัวเองเคยผ่านมา มีไม้แข็งและไม้นวมในการเป็นพี่ใหญ่ของทีมเพื่อให้ได้รับซึ่งความเคารพ ให้ทุกสิ่งที่เขาสั่งไปไม่เป็นการเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา "ฟัง/ดูแล้วจำ นำไปปฏิบัติ" นี่คือสิ่งที่ มิลเนอร์ ทำได้ และทำให้เขาได้รับการพิจารณาสัญญาใหม่ทุกครั้งไป 

ลิเวอร์พูล เคยแพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรป 2 สมัยติดต่อกัน ครั้งแรกใน ยูโรป้า ลีก ที่แพ้ให้กับ เซบียา และอีกปีต่อมาคือนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ เรอัล มาดริด ... การแพ้ติดต่อกันในนัดชิงชนะเลิศเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า หากคุณไม่มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งพอ และมีทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะที่มีสปิริตนักสู้ มันยากมากที่จะกลับมาอีก 

มิลเนอร์ เล่าให้กับ ดิ แอธเลติก ฟังว่า เขากระตุ้นเพื่อน ๆ เสมอในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2018-19 ที่ ลิเวอร์พูล ได้ชิงชนะเลิศกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เขาบอกทุกคนว่าห้ามคิดว่าตัวเองจะแพ้อยู่วันยังค่ำ และปล่อยให้ความกลัวแพ้กดดันจนเล่นไม่เป็นธรรมชาติก่อนเกมจะเริ่มขึ้น

"ผมบอกทุกคนว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เราต้องจริงจังกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นเสมอ เราไม่ยอมให้ตัวเองคิดแบบนั้นได้ (กลัวแพ้) ย้อนกลับไปในเกมนั้นทุกคนกดดันมาก ถ้าเราแพ้อีกมันจะทำลายทีมของเราไปเลย แต่ถ้าเราเป็นแชมป์มันจะปลดล็อกทุกอย่าง และเราจะกลายเป็นผู้ชนะที่เสพติดรสชาติของมัน" มิลเนอร์ กล่าว หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็คว้าเเชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 และอีก 1 ปีต่อมาพวกเขาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกแบบม้วนเดียวจบ นั่นแหละคือการยืนยันการเป็นรุ่นพี่ที่ดี  

ในขณะที่นักเตะทุกคนกลัว คุณต้องยืนขึ้นมาและมั่นใจในตัวเอง มิลเนอร์ เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ ในทีมได้เสมอ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ชื่นชมเขาเรื่องนี้บ่อย ๆ เพราะได้รับอิทธิพลเรื่องทัศนคติมาจาก มิลเนอร์ เช่นเดียวกับสตาร์เบอร์ 1 ของทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ให้ความเคารพซีเนียร์รายนี้เป็นอย่างมาก

นักเตะที่มีความอยากเอาชนะผลักดันคนอื่น ๆ ในทีมได้เสมอ ในพรีเมียร์ลีกนัดเปิดสนามที่ผ่านมา คอสตาส ซิมิกาส เเบ็คซ้ายตัวสำรองของทีมเล่นพลาดบ่อยครั้ง เขาโดนกดดันจนหน้าเสีย จวนสติจะหลุด คนที่เขามากระตุ้น ซิมิกาส เป็นคนแรกคือ มิลเนอร์ ที่เดินมาตบหน้าให้ ซิมิกาส ตื่นกลับมามีสติ และหลังจากนั้นจนจบเกม ซิมิกาส ก็พลาดน้อยลงและช่วยให้ทีมเก็บคลีนชีตได้สำเร็จ 

“โลกฟุตบอลตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว” เขากล่าว “ผู้เล่นอายุน้อยมีโอกาสเติบโตมีชื่อเสียงได้ง่ายกว่าสมัยผมเยอะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ได้รับความสนใจมากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย มันค่อนข้างทำให้พวกเขาเท้าไม่ติดพื้นเหมือนกัน" 

"เรื่องนี้สำคัญมาก ที่ ลิเวอร์พูล เรามี เทรนท์ ที่เติบโตมาตามระบบที่วางไว้เลย ทัศนคติของ เทรนท์ ดีมาก ปฏิบัติตัวแบบมืออาชีพมาตั้งแต่วันแรกที่ได้โอกาสจนถึงทุกวันนี้ สำหรับผมสิ่งที่ดาวรุ่งต้องทำคือการให้ความเคารพกับอาชีพ ขยันซ้อมและรับฟังสิ่งที่มีประโยชน์เมื่ออยู่ในสนามและซ้อมกับทีมชุดใหญ่"

"แต่เมื่อต้องลงสนาม พวกต้องทำกลับกัน ต้องเย่อหยิ่ง มั่นใจ อย่ากลัวใคร อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเด็ก แต่ให้มองไปที่คนอื่นและเรียนรู้ให้มาก ๆ เข้าไว้ เมื่อถึงวันที่เป็นก้าวสำคัญของอาชีพ อย่างการเปิดตัว, ต่อสัญญาใหม่, ติดทีมชาติอังกฤษ หรือคว้าเเชมป์ ก็ห้ามลืมสิ่งที่ทำให้ตัวเองมาถึงจุดนี้เด็ดขาด" มิลเนอร์ เผยสิ่งที่เขาถ่ายทอดถึงน้อง ๆ ในทีมในวันที่เขาเป็นพี่ใหญ่ 

ทุกเหตุผลที่กล่าวมามันค่อนข้างชัดเจนเลยว่านักเตะอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ เอนกประสงค์ในทุกเรื่อง ในสนามเขาเล่นได้ทุกตำแหน่งที่โค้ชสั่งและช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะ นอกสนามเขาทำทุกอย่างเพื่อทำให้เพื่อนร่วมทีมคิดและคำนึงถึงประโยชน์ของทีมเป็นหลัก ลิเวอร์พูล ชุดนี้โตมาด้วยกันทั้งทีม คิดแบบเดียวกัน สู้เพื่อชัยชนะเหมือนกัน และไม่ยอมแพ้เหมือนกัน  

นี่คือเรื่องราวของ เจมส์ มิลเนอร์ นักเตะที่เป็นที่รักของทุกคนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนร่วมทีม, โค้ชและ แฟนบอล ... เขาไม่จำเป็นต้องดังคับโลกระดับเป็นไอคอนเหมือนที่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่การทำงานหนักของเขาส่องสว่างให้กับผู้ที่ร่วมงานด้วยเสมอ นี่เป็นบุคคลแบบที่ทุกองค์กรควรมีไว้เป็นอย่างยิ่ง 

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ เจมส์ มิลเนอร์ : แข้งธรรมดาที่ไหลผ่านกระแสฟุตบอลโดยใช้ทัศนคติเป็นเข็มทิศ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook