ไม่ต้องพู้ดดด : เบื้องหลังทีมเวิร์กระดับมาสเตอร์พีซของ "โรนัลโด้ & เบนเซม่า"

ไม่ต้องพู้ดดด : เบื้องหลังทีมเวิร์กระดับมาสเตอร์พีซของ "โรนัลโด้ & เบนเซม่า"

ไม่ต้องพู้ดดด : เบื้องหลังทีมเวิร์กระดับมาสเตอร์พีซของ "โรนัลโด้ & เบนเซม่า"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เกมสุดมันในกลุ่ม F ของฟุตบอลยูโร 2020 คู่ ฝรั่งเศส พบกับ โปรตุเกส เต็มไปด้วยความสนุกที่ครบรส และ 4 ประตูในเกมนี้เกิดขึ้นโดยฝีเท้าของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า   

ก่อนจะเขี่ยบอลเริ่มเกม กล้องถ่ายทอดสดจับภาพให้เห็นว่าทั้งสองคนส่งรอยยิ้มให้กัน เป็นซีนประทับใจที่แฟนบอลพูดถึงเป็นอย่างมากหลังจากเกมจบลงด้วยสกอร์ 2-2 

รอยยิ้มนี้มีที่มา เพราะครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาเล่นด้วยกันที่ เรอัล มาดริด โรนัลโด้ และ เบนเซม่า ร่วมกันพิชิตโลกลูกหนังมาแล้ว

จากนักเตะที่ซื้อมาเพื่อแย่งกันยิง กลายเป็นคู่หูที่เกื้อหนุนกันยิ่งกว่าคู่ไหน "คนหนึ่งยิง คนหนึ่งจ่าย" จนกลายเป็นตำนาน

ติดตามเบื้องหลังความสัมพันธ์ก่อนที่จะเกิดรอยยิ้มของทั้งคู่ในยูโร 2020 ได้ที่นี่

ฉันมาเพื่อท้าดวล 

ก่อนจะมาร่วมงานและสร้างตำนานร่วมกันที่ เรอัล มาดริด นั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า ต่างก็เคยมีสถานะเป็นเบอร์ 1 ในทีมเก่าของตัวเอง 

ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ คาร์ลอส เตเวซ 2 ดาวยิงระดับตำนานชาว อังกฤษ และ อาร์เจนตินา ต่างต้องยอมลดบทบาทและจุดเด่นของตัวเองลงครึ่งหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้ โรนัลโด้ นักเตะที่เริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นในตำแหน่งริมเส้น ก้าวขึ้นมาเป็นสายจบสกอร์เต็มตัว 

 

กว่าจะได้มาซึ่งบทบาท "เอซ" ของทีม โรนัลโด้ เองก็เสียน้ำตามาไม่น้อย เขาเป็นเด็กที่มีความมั่นใจสูงมาก พยายามเล่นเพื่อตัวเอง จนกระทั่งโดนโค้ชอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด่าต่อหน้าเพื่อนนักเตะคนอื่น ๆ ในห้องแต่งตัว โรนัลโด้ จึงค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีการเล่นจากที่เคยพยายามเลี้ยงกินตัวและอยู่ห่างกรอบเขตโทษ กลายเป็นนักเตะที่เป็นคนชี้ขาดผลแพ้ชนะของทีม ขยับเข้าใกล้กรอบเขตโทษ และใช้ความทะเยอทะยานที่มีเปลี่ยนมันเป็นประตู

โรนัลโด้ เก่งขึ้นมาได้จากคำด่า คำวิจารณ์ และแน่นอน ความพยายามที่จะเอาชนะคำกล่าวเหล่านั้น เขามุ่งมั่นจนกลายเป็นสายจบสกอร์ที่สมบูรณ์แบบ เยือกเย็นเมื่อถึงจังหวะต้องยิง และฉลาดมากพอในการเลือกเล่นจังหวะสุดท้าย 

สิ่งนี้เองทำให้ เฟอร์กี้ ตัดสินใจมอบตำแหน่ง "เอซ" ของทีมให้กับเขา และคนที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลืออย่าง รูนี่ย์ ก็ยังเคยบอกเองเลยว่า การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของ โรนัลโด้ ทำให้เขาเป็นนักเตะที่ได้รับสิทธิพิเศษในทีม แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นคือ "ไม่ต้องเล่นเกมรับ" หน้าที่ของเขาคือ "ยิงให้เข้า" เท่านั้นเป็นอันจบเรื่อง 

"เขาไม่ต้องลงมาช่วยเล่นเกมรับ หน้าที่คือสร้างความอันตรายให้กับทุกคนที่จะเผชิญหน้ากับเขา ... แล้วไม่ต้องห่วงเลย ใครก็ตามที่ได้เจอกับ โรนัลโด้ คนนั้นจะต้องท้องไส้ปั่นป่วนตั้งแต่ยังไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ" รูนี่ย์ ว่าถึงอดีตคู่หูของเขา

 

บทสรุปคือ โรนัลโด้ พา แมนฯ ยูไนเต็ด กวาดทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน จากนั้นเขาย้ายไป เรอัล มาดริด ในฤดูกาล 2009-10 ด้วยค่าตัวสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ 

ณ สโมสรที่เต็มไปด้วยความกดดัน และทุกวินาทีของพวกเขาจะคุยกันแต่เรื่องของชัยชนะ โรนัลโด้ เข้าไปอยู่ในทีมชุดนั้นเพื่อเป็นเบอร์ 1 ของทีมอีกครั้ง แต่หนนี้ไม่ง่าย ที่ เรอัล มาดริด พวกเขาไม่เคยคิดหยุดรอให้นักเตะคนไหนปรับตัว พวกเขาถือเรื่องความเป็นซีเนียร์เป็นสำคัญ และผู้ที่รับตำแหน่งดังกล่าวคือ ราอูล กอนซาเลซ ในวัยเก๋า ตำนานดาวยิงอันดับ 1 ของทีมที่กำลังถึงช่วงขาลง 

แม้จะใส่เบอร์ 7 มาจนได้ฉายาว่า "CR7" แต่ไม่มีทางเลยที่ โรนัลโด้ จะแย่งเสื้อเบอร์ 7 ที่เป็นของ ราอูล ได้ นั่นทำให้เขาต้องขยับไปใส่เสื้อหมายเลข 9 ซึ่งโดยปกติแล้ว เบอร์ 9 คือหมายเลขของกองหน้าตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติ 

และงานของ โรนัลโด้ ยากขึ้นอีกนิด เพราะหลังจากที่ มาดริด คว้าตัวเขาได้ไม่ถึง 1 เดือน "โกลเด้นบอย" แห่งวงการฟุตบอลฝรั่งเศสอย่าง คาริม เบนเซม่า ก็ย้ายตามมาติด ๆ นี่คือนักเตะตำแหน่งหมายเลข 9 โดยธรรมชาติพันธุ์แท้ 

 

สถิติการยิงประตูและวิธีการเล่นของ เบนเซม่า สมัยอยู่กับ โอลิมปิก ลียง นั้นชัดเจนมาก เขามีหน้าที่เป็นตัวจบสกอร์อันดับ 1 ของทีม ภายใต้การสนับสนุนของนักเตะตัวรุกรอบข้างอย่าง จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่, ซิดนี่ย์ โกวู และ มิราเล็ม ปานิช เป็นต้น 

สิ่งที่ทุกคนคาดไว้ในตอนแรกคือ โรนัลโด้ จะต้องขยับออกมาเป็นตัวรุกริมเส้นค่อนข้างแน่ เพราะในตำแหน่งหมายเลข 9 นั้นมีทั้ง เบนเซม่า, ราอูล รวมถึง กอนซาโล อิกวาอิน 

เมื่อนักเตะเกมรุกไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ช่าง พวกเขาจะถูกตัดสินกันด้วยจำนวนประตูเป็นอันดับแรก ภายใต้สถานการณ์ที่ต่างคนต่างมาใหม่และทีมต้องการหัวหอกเบอร์ 1 ทั้ง โรนัลโด้ และ เบนเซม่า ย่อมต้องพยายามยิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามสัญชาตญาณของกองหน้า และทุกคนรู้ดีว่าช่วงเวลาแห่งการแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งคนสำคัญได้เริ่มขึ้นแล้ว

คาแร็กเตอร์ และ วิธีการ 

ฤดูกาล 2009-10 ถือเป็นฤดูกาลที่ เรอัล มาดริด เปลี่ยนโฉมหน้าทีมใหม่ไปเลยก็ว่าได้ หลังจากฤดูกาลสิ้นสุดลง นักเตะตำแหน่งกองหน้าที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในเกมลีกคือ กอนซาโล่ อิกวาอิน ที่ยิงไป 27 ลูก ขณะที่ โรนัลโด้ แม้จะเล่นตำแหน่งริมเส้นเป็นหลัก แต่เขาก็ยิงไปถึง 33 ลูกจากทุกรายการ (ในลีก 26 ลูก) ขณะที่ คาริม เบนเซม่า นั้นมีปัญหาเรื่องการปรับตัว จากนักเตะเบอร์ 9 ที่เก่งที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ยิงได้แค่ 8 ประตูเท่านั้นในเกมลีก

 

มาดริด จบฤดูกาลด้วยการเป็นที่ 2 และนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจ มีการเปลี่ยนแปลงโค้ช โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาหลังจากพา อินเตอร์ คว้า 3 แชมป์ ในปี 2010 พร้อมได้อธิบายความแตกต่างระหว่างนักเตะเกมรุกของทีมได้เป็นอย่างดี และคนที่เขาบอกให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นมากที่สุดคือ เบนเซม่า 

เบนเซม่า อยู่ในสภาพกลายเป็นตัวสำรอง เขาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ไม่มีความสุข คิดถึงบ้าน และทุก ๆ อย่างที่ ฝรั่งเศส เขาบอกว่าอาหารที่สเปนมันเยิ้มเกินไป ทุกสิ่งแย่ไปหมด หนำซ้ำเขายังโดน มูรินโญ่ วิจารณ์เรื่องการเล่นด้วย 

ครั้งหนึ่งเมื่อ อิกวาอิน มีปัญหาบาดเจ็บ มูรินโญ่ ไม่มีทางเลือก เพราะ โรนัลโด้ นั้นเป็นตัวริมเส้นที่ทำหน้าที่ได้อยู่แล้ว เขาต้องการเบอร์ 9 เข้ามาทำหน้าที่จบสกอร์ แต่เมื่อเหลือบมองไปทั่วห้องแต่งตัวเหลือแค่ เบนเซม่า คนเดียว ... มูรินโญ่ ถึงกับพูดผ่านสื่อในเชิงว่า "พึ่งพาไม่ได้"

"หากไม่มี อิกวาอิน เรามีปัญหาแน่ คุณกำลังเข้าป่าล่าสัตว์ สิ่งที่คุณต้องการคือหมานักล่าฝีเท้าฉกาจสักตัว แต่มองไปในบ้านคุณกลับไม่เหลือหมาสักตัว มีแต่แมวเท่านั้น และมันไม่มีทางเลือกคุณต้องเอาแมวตัวนั้นไปออกล่าด้วย เพราะคุณไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้" มูรินโญ่ ว่าแบบนั้น

 

ขณะที่ โรนัลโด้ ทิ้งห่างเขาไปไม่เห็นฝุ่น และยังเย็นชากับ เบนเซม่า ตามคำบอกเล่าจาก กิลเยม บาลาเก กูรูฟุตบอลสเปนที่เขียนบทความไว้ในเว็บไซต์ BBC ว่า "เบนเซม่า มักจะเริ่มทำอะไรสักอย่างต่อเมื่อโดนแนะนำหรือถูกทวงถาม แต่ โรนัลโด้ นั้นไม่ใช่เลย เขามุ่งมั่นอยู่กับตัวเองและต้องการจะทำผลงานให้ดีขึ้นตลอดเวลาโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก" 

เบนเซม่า โดนละเลยเพราะคาแร็กเตอร์ที่เฉื่อยชาเกินไป เขาเป็นนักเตะฝรั่งเศสคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบในทีมชุดนั้น เขาท้อแท้และดูจะถอดใจ ขณะที่ โรนัลโด้ นั้นห้อตะบึงไปข้างหน้าด้วยฟอร์มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ 

แรกเริ่ม เบนเซม่า ไม่รู้ตัวว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่ถูกเรียกใช้บริการเป็นกองหน้าตัวจริง แม้กระทั่งในวันที่ อิกวาอิน บาดเจ็บ มูรินโญ่ ยังเชื่อใจโรนัลโด้ด้วยการขยับเอา โรนัลโด้ เข้ามาเป็นกองหน้า และเอา เบนเซม่า ไว้บนม้านั่งสำรอง ความอดทนของ เบนเซม่า หมดลง เขาขอคุยกับ มูรินโญ่ เป็นการส่วนตัว และพูดถึงสิ่งที่เขาคิดวนเวียนมาหลายเดือนนับตั้งแต่ย้ายมา 

"ทำไมผมถึงไม่ได้เล่น" คำถามที่มาพร้อมกับท่าทางที่เกรี้ยวกราด ทำให้ มูรินโญ่ พอใจกับสิ่งที่ เบนเซม่า ทำ ... เขาอยากให้นักเตะกระตือรือร้นและดุดันแบบนี้ ไม่ใช่หมดอาลัยตายอยากเพราะความท้อแท้และไม่คิดจะสู้ มูรินโญ่ จึงเริ่มบอกถึงสิ่งที่เขาคิดให้ เบนเซม่า ได้รู้บ้าง

"ฟังนะ คาริม ที่นี่ไม่ใช่ประเทศฝรั่งเศส นี่คือสโมสร เรอัล มาดริด ถ้าคุณอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของทีม ๆ นี้คุณต้องทำงานให้หนัก และพยายามให้มากกว่าที่คุณเป็นอยู่" มูรินโญ่ ว่าเช่นนั้น 

ส่วนตัวอย่างความทะเยอทะยานนั้นไม่ต้องมองไปที่ไหน เบนเซม่า แค่ดูสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำ เขาก็จะได้คำตอบเองว่า "เขาพลาดอะไรไปบ้างในช่วงเวลาแห่งความท้อแท้นี้" 

มูรินโญ่ พา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกเหนือ บาร์เซโลน่า ได้สำเร็จ ขณะที่สถานะในทีมของ โรนัลโด้ และ เบนเซม่า ก็ชัดเจนขึ้นภายใต้การเปิดใจครั้งนั้น เขารู้ว่าหน้าที่ของเขาที่ มาดริด นั้นคงไม่สามารถเป็นเบอร์ 9 และทำหน้าที่รับจบจังหวะสุดท้ายได้เหมือนกับ ลียง เพราะ โรนัลโด้ ยิ่งเล่นยิ่งเก่ง และโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ทางเดียวที่เขาจะอยู่กับทีมนี้ได้ คือการเป็นคนที่ช่วยให้ โรนัลโด้ เก่งขึ้นยิ่งกว่าที่เคยเป็น

จากบท แบทแมน เบนเซม่า ต้องมองตัวเองใหม่ ปรับความคิดและทัศนคติเล็กน้อย เขาจะต้องเป็น โรบิน ให้ได้ เป็นผู้ช่วยที่คอยให้ แบทแมน กลายเป็นพระเอกขวัญใจมหาชน แม้ว่าตัวของเขาจะไม่ได้รับความดีความชอบเท่าที่เป็นก็ตาม

"ผมเข้าใจถึงความต่างชัดแล้ว มันแปลกจากตอนที่เล่นให้ ลียง ตอนนั้นผมลงสนาม ยิงประตู คว้าแชมป์ และสนุกกับช่วงเวลาแบบนั้น แต่มันถึงเวลาต้องปรับตัวบ้าง ซึ่ง มูรินโญ่ ช่วยผมได้มาก คนอย่างเขามีวิธีปลุกคุณได้ด้วยคำพูด คำพูดของเขาเหมือนกับหมัดที่ซัดให้คุณตื่นมามองความจริง ... ใครจะว่ายังไงผมไม่รู้ แต่สำหรับผมเขาคือโค้ชที่ยอดเยี่ยม" เบนเซม่า กล่าวหลังได้รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อจากนี้ 

ทำเพื่อทีม

เมื่อได้แนวทางแล้วอะไร ๆ ก็ง่ายขึ้น เบนเซม่า เข้าใจหน้าที่ และความจริงที่ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะแย่งการเป็นเบอร์ 1 ของทีมจาก โรนัลโด้ เขาแค่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ว่าทำอย่างไรจะเล่นร่วมกับทีม และพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง 

"ปกติแล้วผมชอบยิงประตู แต่เมื่อคนที่อยู่ข้าง ๆ ผมคือนักเตะที่ยิงได้ปีละ 50 ลูก ดังนั้นคุณคงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการช่วยผลักดันเขาให้ยิงเยอะยิ่งกว่าเดิม" เบนเซม่า กล่าวกับสื่อฝรั่งเศสอย่าง Canal+

เบนเซม่า เปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่ได้อย่างน่าประหลาด และทำได้ดีเสียด้วย เขายอมเป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีมมากขึ้น มองหา โรนัลโด้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อ โรนัลโด้ เข้าตาจน เบนเซม่า มักจะเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เพื่อรับบอลต่อและช่วยแก้ปัญหา ขณะที่หลายจังหวะในเกมบุก เบนเซม่า ที่เป็นกองหน้ายังยอมถอยตัวลงมาต่ำและคอยช่วยทีมเล่นเกมรับ โดยปล่อยให้ โรนัลโด้ ทำในสิ่งที่ถนัด นั่นคือการห้อยเป็นกองหน้าตัวสุดท้ายอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุด พวกเขาทั้งคู่เริ่มเข้าหากันแล้ว โรนัลโด้ ชอบและให้ความสำคัญกับคนที่มีความพยายาม เขาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ที่มีความต้องการสูง และการที่ เบนเซม่า เปลี่ยนแปลงตัวเอง มีจิตวิญญาณนักสู้ และมุ่งมั่นเพื่อทีม มันทำให้ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีกว่าที่เคย กลายเป็นคนละเรื่องกับที่เคยเป็นในช่วงปี 2009-10  

หากใครได้ติดตามการถ่ายทอดสดฟุตบอล ลา ลีกา หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เรอัล มาดริด ลงสนาม โรนัลโด้ ที่แม้จะมีแก๊งโปรตุกีส เป็นเพื่อนสนิทในทีม แต่เมื่ออยู่ในอุโมงค์ก่อนเดินลงสู่สนาม หรือแม้กระทั่งจังหวะเกมหยุดระหว่างแข่ง นักเตะที่เขาจะเข้ามาคุยด้วยเพื่อนัดแนะวิธีการมากที่สุดคือ เบนเซม่า แม้คนดูอย่างเรา ๆ จะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่พัฒนาเรื่องการสื่อสารและทำงานร่วมกันขึ้นมามากโข เมื่อเวลาผ่านไป เบนเซม่า แทบไม่ต้องมองด้วยซ้ำ ก็รู้ว่าจะจ่ายบอลไปตรงพื้นที่ไหนเพื่อให้ โรนัลโด้ ได้เล่นง่ายที่สุด

"โรนัลโด้ กับผมเข้ากันได้ดี ผมชอบเล่นกับเขา เราเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเราชอบการเข้าทำแบบเล่นจังหวะเดียว ผมจะไม่โกหกหรอกนะว่าเขาเป็นกองหน้าที่มีความเห็นแก่ตัวมากกว่าผม แต่เชื่อเถอะว่าผมโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทีมของเราได้ประโยชน์จากสิ่งนี้" เบนเซม่า เริ่มพูดถึงบทบาทใหม่ 

"ผมได้ยินคนพูดเข้าหูของผมอยู่บ่อย ๆ ว่าผมคล้ายกับลูกหาบของ โรนัลโด้ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง ผมไม่ได้มองหาเขาและเป็นป๋าดันแบบที่ใครเข้าใจ เพราะ โรนัลโด้ เป็นคนที่โคตรจะเก่งมาก ๆ"

"ถ้าคุณได้เล่นกับนักเตะแบบเขาคุณจะรู้เอง เขาจะเรียกบอลก็ต่อเมื่อเขารู้สึกว่าถ้าเขาได้รับบอลแล้วจะมีการเข้าเล่นเกมรุกเกิดขึ้น โรนัลโด้ เป็นคนที่เคลื่อนที่เก่งมาก และการขยับตัวของเขานั้นผมขอใช้คำว่าเป็น เพอร์เฟ็กต์ ไทมิ่ง น่าจะเหมาะที่สุด คือมันเข้าช่องเป๊ะ ๆ จนการแอสซิสต์ให้เขากลายเป็นของง่าย เรื่องมันก็เท่านั้นเอง" เขาอธิบายเพิ่ม

ขณะที่ โรนัลโด้ เองก็เป็นคนที่เข้าใจหัวอกของ เบนเซม่า ไม่น้อย การที่เขาเป็นพระเอกของทีม ทำให้ เบนเซม่า มักจะโดนวิจารณ์ในยามที่ทีมไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ อีกทั้งตัวเลขประตูของ เบนเซม่า ก็ไม่ได้โดดเด่น เมื่อเทียบกับเขา โดยเฉพาะในช่วงปี 2016 ถึง ปี 2018 เบนเซม่า ยิงในลีกได้แค่ 16 ลูกเท่านั้น ขณะที่ โรนัลโด้ นั้นยิงรวมทุกรายการในระยะเวลาเท่า ๆ กันได้มากถึง 97 ลูก 

โรนัลโด้ พยายามทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของ เบนเซม่า ที่มีต่อทีม ในช่วงที่ เบนเซม่า โดนแฟนของ มาดริด โห่ โรนัลโด้ เคยออกโรงปกป้อง เบนเซม่า ทั้งการให้สัมภาษณ์กับสื่อ การให้แฟน ๆ ยกย่อง เบนเซม่า ที่แอสซิสต์ให้เขายิงประตู หรือแม้กระทั่งการยกลูกจุดโทษให้กับ เบนเซม่า เป็นคนยิง ทั้ง ๆ ที่ โรนัลโด้ กำลังลุ้นแฮตทริก (ในเกมชนะ อลาเบส 4-0 เมื่อปี 2018) 

"คำวิจารณ์ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักบอล เราทุกคนต้องลอยตัวเหนือคำพูดเหล่านั้นให้ได้ และสำหรับผม เบนเซม่า คือกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก ผมมีความสุขที่ได้เล่นร่วมกับเขา และมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาคือนักเตะเบอร์ต้น ๆ ของโลกที่สมควรได้รับคำชื่นชม" โรนัลโด้ กล่าว 

ขณะที่ เบนเซม่า ก็ตอบกลับผ่านสื่อว่า  "มันเป็นความสุขที่ได้ยินคำชมจากเขา เพราะตอนนี้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก และเขาก็ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนมีวิธีการเล่นเป็นของตัวเอง แต่เรามักจะหาจุดที่ลงตัวให้กับทีมได้อยู่เสมอ"

เบนเซม่า ที่โตขึ้นไม่ได้สนใจคำวิจารณ์และอยากเอาชนะมันเหมือนกับตอนที่เขาย้ายมาใหม่ ๆ อีกแล้ว เขาลอยตัวเหนือคำวิจารณ์อย่างที่ โรนัลโด้ บอก โดยให้เหตุผลว่า "เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะเรียนรู้วิธีการนิ่งและควบคุมสติได้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ" 

พวกเขาเล่นด้วยกันเป็นระยะเวลา 9 ปี ที่ เรอัล มาดริด เบนเซม่า คือนักเตะที่ทำ แอสซิสต์ให้กับ โรนัลโด้ มากที่สุดตลอดอาชีพค้าแข้งของ CR7 ด้วยจำนวน 47 แอสซิสต์ ทิ้งห่างอันดับ 2 และ 3 อย่าง แกเรธ เบล กับ เมซุต โอซิล แบบขาดลอย (32 และ 31 ลูก ตามลำดับ)  

มีคำกล่าวที่ว่า โรนัลโด้ กลายเป็นคนที่ยิงประตูกระจุยกระจายแบบนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีนักเตะที่มีทัศนคติของการทำงานร่วมกันที่ดีอย่าง เบนเซม่า คนที่ผ่านบอลให้เขายิงประตูมากที่สุด และตัวของ โรนัลโด้ ก็ทำให้ความพยายามและความไว้วางใจของ เบนเซม่า ไม่สูญเปล่า เพราะเขาเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้แทบทุกครั้ง

"คาริมน่าจะเป็นนักเตะหมายเลข 9 คนเดียวที่ผมรู้ว่าไม่เห็นแก่ตัวในเกมของเขา วิสัยทัศน์ของเขาน่าทึ่งมาก วิธีที่เขาสนุกกับฟุตบอลคือการเล่นอย่างอิสระ" มูรินโญ่ เพิ่งพูดถึง เบนเซม่า ก่อนช่วงยูโร 2020 จะเริ่มขึ้น และเผยถึงความสนิทสนมระหว่าง เบนเซม่า และ โรนัลโด้ ว่า

"คำชมที่ดีที่สุดที่คุณสามารถมอบให้ คาริม เบนเซม่า ได้ก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำเมื่อครั้งเล่นด้วยกันที่ เรอัล มาดริด" 

สิ่งที่ มูรินโญ่ พูดนั้นมันจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย ช่วงเวลาที่ เบนเซม่า เล่นร่วมกับ โรนัลโด้ โดยเฉพาะหลังจากช่วงที่ทั้ง 2 ปรับจูนเข้าหากันได้แล้ว เรอัล มาดริด กลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยมีสโมสรไหนในทวีปเคยทำได้ นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1992

ทุกวันนี้หลังจากที่ โรนัลโด้ ย้ายออกจาก มาดริด ไปในปี 2018 เบนเซม่า ได้แสดงให้เห็นว่าการจบสกอร์ของเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครคิด เป็นดาวซัลโวของสโมสร 3 ซีซั่นติดต่อกัน โดยยิงได้ถึง 87 ลูก จากการลงเล่น 145 เกม ด้วยตัวเลขดังกล่าวมันยิ่งตอกย้ำว่าเขาเป็นนักเตะที่มีทัศนคติในการเล่นดีขนาดไหน 

ทุกทีมต้องการนักเตะที่เล่นเพื่อทีมเหมือนกับที่ เบนเซม่า เป็น ชายผู้เข้าใจถึงบทบาทและภาพรวมของทีม รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ทีมได้รับประโยชน์สูงสุด นี่คือการทำงานร่วมกันของ 2 นักเตะที่เกิดมามีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับหาจุดลงตัวร่วมกันได้อย่างน่าชื่นชม 

"คุณมีหน้าที่ยิงคุณยิงไป ผมจะเอาบอลไปให้คุณจัดการเอง" คือหน้าที่ของ เบนเซม่า 

"เอาบอลมาให้ผม แล้วผมจะทำให้ทีมเป็นผู้ชนะ" คือหน้าที่ของ โรนัลโด้

นี่คือทีมเวิร์กในแบบฉบับของทั้งคู่ หนึ่งคนเด่น หนึ่งคนปิดทองหลังพระ แต่ผลลัพธ์คือ "สโมสรสามารถพิชิตทุกแชมป์ได้" ภายใต้ทีมเวิร์กนี้ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook