เซราฟิม โตโดรอฟ : บุรุษคนสุดท้ายที่ชนะ “ฟลอยด์” และชะตาชีวิตที่พังพาบหลังแพ้สมรักษ์

เซราฟิม โตโดรอฟ : บุรุษคนสุดท้ายที่ชนะ “ฟลอยด์” และชะตาชีวิตที่พังพาบหลังแพ้สมรักษ์

เซราฟิม โตโดรอฟ : บุรุษคนสุดท้ายที่ชนะ “ฟลอยด์” และชะตาชีวิตที่พังพาบหลังแพ้สมรักษ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากกล่าวถึงนักมวยที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ชื่อของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ คงผุดขึ้นมาในทันที เขาคือเจ้าของสถิติ 50-0 ในเวทีมวยสากล และ นักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดในโลก ตั้งแต่ปี 2012 - 2015

ถึงยิ่งใหญ่ดุจราชา ใช่ว่าอาชีพนักมวยของฟลอยด์ จะไม่เคยมีจุดด่างพร้อย ครั้งหนึ่งบนเวทีโอลิมปิก เขาแพ้ให้แก่นักชกรายหนึ่ง แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจ เกิดขึ้นในอีกหลายสิบปีถัดมา เมื่อชีวิตของผู้ชนะกับผู้แพ้ในไฟต์นั้น สวนทางกันราวฟ้ากับเหว

Main Stand บอกเล่าเรื่องราวของ เซราฟิม โตโดรอฟ (Serafim Todorov) บุรุษคนสุดท้ายที่เคยเอาชนะ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กับชีวิตในปัจจุบันที่กลายเป็นคนตกงาน อยู่ด้วยเบี้ยเลี้ยงรัฐ เกือบพัวพันกับแก๊งค้ายาในบัลแกเรีย และกล่าวในภายหลังว่าหากย้อนเวลาได้ เขาขอแพ้ให้แก่ฟลอยด์

เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขากันแน่ ...

ศิลปินบนสังเวียน

เซราฟิม โตโดรอฟ เกิดและเติบโตที่ เปสห์เตรา เมืองทางตอนใต้ของประเทศบัลแกเรีย เขาเริ่มชกมวยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และใช้เวลาไม่นาน กลายเป็นนักสู้ที่น่าจับตามองที่สุดของประเทศ

โตโดรอฟ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาคว้าแชมป์มวยสากลสมัครเล่นแห่งยุโรป และตำแหน่งรองแชมป์โลก รุ่นแบนตัมเวต ตั้งแต่อายุ 20 ปี หลังจากนั้น 2 ปีถัดมา (ปี 1991) โตโดรอฟคว้าแชมป์ยุโรปรุ่นเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขาก้าวไปไกลกว่าเดิมด้วยการคว้าแชมป์โลก ที่เคยพลาดไปมาครองได้สำเร็จ

ปี 1992 โตโดรอฟ เป็นตัวแทนทีมชาติบัลแกเรีย ลงแข่งขันในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เขาทะลุเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ก่อนแพ้ให้กับ ลี กวาง ซิค นักชกชาวเกาหลีเหนือ ถึงกลับบ้านมือเปล่า โตโดรอฟ เดินหน้าล่าความสำเร็จบนเส้นทางใหม่


Photo : sportskeeda

เขาคว้าแชมป์ยุโรปในรุ่นเฟเธอร์เวต ในปี 1993 และแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวต ในปี 1993 และ 1995 ไม่ต้องสงสัยว่า ชื่อเสียงและความสามารถของ โตโดรอฟ เป็นที่เลื่องลือเพียงใด ฟุตเวิร์ตที่หาตัวจับยาก บวกกับทักษะการหลบหลีกและหลอกลวงคู่ต่อสู้ โตโดรอฟ คือศิลปินที่วาดลวดลายหมัดมวยของเขาบนพื้นผ้าใบ

"ผมเป็นคนฉลาด คือนักสู้ที่สง่างามและน่าดึงดูดให้ติดตาม บนเวที คุณจำเป็นต้องแสดงความเป็นศิลปินออกมา และผมเคยเป็นศิลปินแบบนั้น"

ความเป็นศิลปินของโตโดรอฟ ไม่ได้แสดงให้เห็นแค่บนเวที แต่รวมถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่ไร้กฎระเบียบ เขาขึ้นชื่อขาดวินัย ติดผู้หญิงและหนีเที่ยวกลางคืนเป็นประจำ ต่อให้โค้ชในทีมจะงัดไม้แข็งใดมาจัดการ โตโดรอฟ จะหาทางเพื่อออกไปสังสรรค์กับสุราและนารี ได้เสมอ


Photo : sportskeeda

"ในแคมป์ฝึกซ้อม โค้ชคนอื่นจะนอนในห้องของตัวเอง แต่ผมต้องนอนในห้องของเซราฟิม" จอร์จี สตอยเมนอฟ (Georgi Stoimenov) โค้ชส่วนตัวของโตโดรอฟ กล่าว

"ถ้าคุณถามผมว่าจะหาตัวเซราฟิมได้ที่ไหน ผมคงตอบว่า เดินลงไปอีกไม่กี่ชั้น คุณจะพบเขาคลุกกับสาวๆ ในห้องพักนักกีฬาหญิง"
 

พิชิต ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์

ไม่ว่าชีวิตนอกสังเวียนของโตโดรอฟ จะเหลวไหลแค่ไหน ผลงานบนสังเวียนของเขายังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ในวัย 27 ปี เขาใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ เพื่อเตรียมพร้อมสู้ศึกโอลิมปิก ปี 1996 ที่เมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระหว่างการเก็บตัว โตโดรอฟ แอบปีนหน้าต่างห้องพักออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูงแทบทุกคืน

โตโดรอฟ เริ่มต้นเส้นทางคว้าเหรียญทองรุ่นเฟเธอร์เวต ด้วยการปราบนักชก 3 คนแรกในการแข่ง ด้วยสกอร์รวม 45-18 (ในยุคนั้น มวยสากลสมัครเล่นให้คะแนนด้วยระบบนับหมัดที่เข้าเป้า) เขาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ โดยไม่ใกล้เคียงคำว่าพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ที่รอเขาอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่นักชกธรรมดาที่ใครจะมองข้าม


Photo : sportskeeda

ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ คือ ดาวรุ่งชาวอเมริกา เจ้าของแชมป์ Golden Gloves 3 สมัย และแชมป์แห่งชาติ 1 สมัย ถึงจะขาดประสบการณ์ในระดับนานาชาติ แต่ฟลอยด์พิสูจน์ว่าเขาคู่ควรกับเวทีโอลิมปิก ด้วยการเอาชนะคู่แข่ง 2 คนแรก ด้วยสกอร์รวม 26-4 ก่อนปราบ ลอเรนโซ อรากอน (Lorenzo Aragon) ด้วยสกอร์ 12-11 กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกในรอบ 20 ปี ที่สามารถเอาชนะนักชกจากคิวบา

หากมีคู่ต่อสู้ร้ายกาจขนาดนี้รออยู่รอบหน้า นักมวยรายอื่นคงใช้เวลาว่างทั้งหมด เพื่อศึกษาการชกของฟลอยด์ แต่สำหรับโตโดรอฟ เขามองว่าฟลอยด์ไม่จากนักชก 3 คนก่อนหน้า ที่จะชนะโดยง่าย จึงเตรียมพร้อมการแข่งขันนัดถัดไป โดยดูแมตช์ของของฟลอยด์เพียงนัดเดียว

"ผมจำได้ว่าตอนนั้น เขาอายุแค่ 19 ปี" โตโดรอฟ ย้อนถึงความหลังในปี 1996

"ประสบการณ์ของผมเยอะกว่ามาก ผมชนะมาหมดแล้ว ทั้ง รัสเซีย คิวบา อเมริกา เยอรมัน หรือแชมป์โอลิมปิก ผมทำให้พวกนั้นอับอายบนเวที จะบริติช หรือ ฝรั่งเศส ผมปราบเรียบไม่เหลือ"


Photo : boxrex

"พูดตามตรง ผมไม่คิดว่ามันจะต่างจากไฟต์อื่น เพราะผมชนะคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าเขามาเยอะแล้ว"

กว่า โตโดรอฟ จะรู้ว่าเขาคิดผิด คะแนนของเขาตามหลังฟลอยด์ 7 ต่อ 6 ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ เวลาเหลือเพียง 3 นาที ในการชกยกสุดท้าย โตโดรอฟ ที่หลังพิงฝาเข้าตะลุมบอนกับฟลอยด์ ทันใดนั้นคะแนนของเขาพุ่งขึ้นมา 2 แต้ม พลิกแซงเป็น 8-7

กล่าวกันภายหลังว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคือส่วนสำคัญที่ทำให้ฟลอยด์พ่ายแพ้ นักชกชาวอเมริกา เหวี่ยงหมัดเข้าเป้าหลายครั้ง แต่ไม่ได้คะแนนกลับมาสักแต้ม แม้ฟลอยด์จะตีเสมอขณะเวลาเหลืออีก 1 นาที แต่โตโดรอฟที่กำลังมั่นใจ ซัดเข้าเป้าอีก 2 ครั้ง ก่อนคว้าชัยชนะด้วยสกอร์ 10-9

สำหรับ โตโดรอฟ มันเป็นเพียงชัยชนะอีกหนึ่งนัด ที่ไม่มีความพิเศษอะไร แต่สำหรับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มันคือความอัปยศ หลังรู้สึกว่าตัวเองถูกโกงผลการแข่งขัน ฟลอยด์ประท้วงด้วยการก้มหน้าตลอดพิธีมอบเหรียญรางวัล (ตามกฎ ผู้แพ้ในรอบรองชนะเลิศจะได้เหรียญทองแดงทันที) และหลังจบโอลิมปิก 1996 ฟลอยด์ ก็บอกลาวงการมวยสากลสมัครเล่น เพื่อเริ่มต้นเส้นทางของเขาบนสังเวียนอาชีพ


Photo : sportskeeda

ความสำเร็จของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ หลังจากนี้ คือเรื่องราวที่คนทั่วโลกรู้จักดี แต่สิ่งที่น้อยคนจะรู้คือ ฟลอยด์ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักมวยสากลอาชีพ เนื่องจากคำปฏิเสธของนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง ... ฟลอยด์ คือตัวเลือกที่สอง และอาจไม่อยู่ในจุดที่ยืนอย่างทุกวันนี้ หากตัวเลือกแรก ตอบรับข้อเสนอนั้น

นักชกที่เรากล่าวถึงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ... เซราฟิม โตโดรอฟ

 

ตัดสินใจผิดพลาด
 

หลังจบการชกทุกไฟต์ เป็นเรื่องปกติที่นักมวยจะกลับสู่ห้องแต่งตัว และเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบสารกระตุ้น โตโดรอฟ นั่งต่อแถวตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ มีชายในชุดสูทสามคนอยู่ในห้อง โตโดรอฟ รู้ภายหลังว่า 2 ใน 3 คน คือโปรโมเตอร์จากสหรัฐอเมริกา อีกคนคือล่ามที่ถูกจ้างมาเพื่อพูดคุยกับเขา ในการเจรจายื่นสัญญานักมวยอาชีพโดยเฉพาะ

"คนพวกนั้นเห็นผมบนเวที พวกเขาชอบสไตล์ของผม และที่สำคัญ พวกเขาเห็นว่าผมเป็นคนขาว" โตโดรอฟ เล่าถึงวินาทีที่เปลี่ยนชีวิตเขาตลอดกาล

"ไม่มีนักมวยผิวขาวคนไหนในโลกใบนี้เหมือนผม พวกเขารู้ความจริงข้อนี้ พวกเขาอยากได้ตัวผม"

สัญญานักมวยสากลอาชีพ หมายถึงเม็ดเงินมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น โบนัสก้อนโตตั้งแต่จรดปากกา, บ้านหลังใหญ่, รถสปอร์ตหรู รวมถึงโอกาสขึ้นชกต่อหน้าผู้คนมากมาย ที่ไม่มีวันสัมผัสในชีวิตนักมวยสากลสมัครเล่น


Photo : WorldBoxing

ชีวิตใหม่รอโตโดรอฟอยู่เบื้องหน้า โปรโมเตอร์ยื่นปากกามาให้เขาเซ็นสัญญา โชคชะตาของโตโดรอฟแบ่งเป็น 2 ทาง ด้วยระยะห่างเพียงปลายนิ้ว โชคร้ายที่เขาเลือกเส้นทางที่ผิด เมื่อโตโดรอฟปฏิเสธการเซ็นสัญญา ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เขาไม่อยากเป็นนักชกอาชีพ

"ผมตอบว่า ไม่ โดยไม่คิดสักนิด ผมตอบพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ ง่ายแค่นั้น"

ความผิดหวังอยู่กับโปรโมเตอร์เหล่านั้นไม่นาน ทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธจากโตโดรอฟ ชายในชุดสูทเหล่านั้น เดินไปหานักมวยอีกคนที่ต่อคิวตรวจสารกระตุ้นด้านหลัง นั่นคือ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

โตโดรอฟ ยอมรับภายหลังว่า มันคือความผิดพลาดที่สุดในชีวิต แต่วินาทีนั้น เขาโฟกัสแค่การคว้าเหรียญทองโอลิมปิก โดยไม่รู้เลยว่า เขาจะเจอความอัปยศแบบเดียวกันที่ทำให้ฟลอยด์ หันหลังให้วงการมวยสากลสมัครเล่นตลอดกาล

หลังการชกรอบรองชนะเลิศ 2 วัน เอมิล เยทเชฟ (Emil Jetchev) ประธานกรรมาธิการผู้ตัดสินและกรรมการนานาชาติ ชาวบัลแกเรีย เข้ามาพูดคุยกับโตโดรอฟเป็นการส่วนตัวว่า หากเขาต้องการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ต้องเอาชนะคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ คือ สมรักษ์ คำสิงห์ นักชกชาวไทย ด้วยการน็อคเอาต์เท่านั้น

"เขาไม่เคยเข้ามาพูดกับผมแบบนี้ ไม่เคยสักครั้งเดียว" โตโดรอฟ กล่าว

"คำถามคือทำไมเขามาพูดกับผมแบบนั้น ทั้งที่ผมชนะเจ้าคนไทยด้วยคะแนนในช่วงพรีโอลิมปิก ชนะห่างหลายคะแนนด้วย อีกอย่าง เยทเชฟ รู้ว่าผมเป็นมวยเทคนิค ไม่ใช่นักมวยแบบ ไมค์ ไทสัน"

"เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาทำมันชัดเจน เขากำลังบอกผมว่า นายกำลังจะแพ้"


Photo : sportskeeda

ไม่มีใครรู้ว่าข้อสันนิษฐานของโตโดรอฟ มีมูลความจริงแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ เขาแพ้ให้แก่ สมรักษ์ คำสิงห์ ในแมตช์ชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 8-5 โตโดรอฟไม่เพียงผิดหวังที่พลาดเหรียญทอง แต่รู้สึกว่าตัวเองถูกหักหลังโดยกีฬาที่รักและทุ่มเทมาตลอดชีวิต

"หลังจากนั้น ผมไม่เคยหยุดดื่มเหล้าเลย ผมแค่อยากจะดื่มจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป"

ปี 1997 โตโดรอฟ คิดจะลืมความผิดหวัง โดยการเซ็นสัญญากับทีมชาติตุรกี เพื่อลงแข่งขันศึกชิงแชมป์มวยสากลสมัครเล่นโลก ทางตุรกีสัญญาว่าจะมอบเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่งานยากสำหรับ อดีตแชมป์ 3 สมัย แต่สุดท้าย เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น

"การตกลงทุกอย่างลุล่วง หลังจากนั้น มีคนมาบอกผมว่าทุกอย่างยกเลิกแล้ว เพราะเยทเชฟต้องการเงินจากตุรกี 3 แสนเหรียญ ในตอนท้าย"

"เพราะฉะนั้น ผมย้ายไปชกให้ตุรกีไม่ได้ แต่ผมก็จะไม่ชกให้บัลแกเรียเหมือนกัน ดังนั้น สำหรับผม มันจบแล้ว"

โตโดรอฟ ประกาศหันหลังแก่วงการมวยสากลสมัครเล่น ด้วยวัย 28 ปี และมุ่งหน้าเอาดีทางมวยอาชีพแทน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จหลังจากนั้น เขาแขวนนวมถาวรในปี 2003 ก่อนเผชิญความจริงอันยากลำบาก ในฐานะคนหาเช้ากินค่ำที่บัลแกเรีย
 

ความผิดหวังที่ไม่อาจข้ามผ่าน

ประเทศบัลแกเรีย เคยเป็นหนึ่งในรัฐสังคมนิยม ที่มีความใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ทว่าความล่มสลายของโซเวียตในช่วงต้นยุค 90's นำมาซึ่งสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ผู้คนส่วนมากมีคุณภาพชีวิตที่แย่ แม้แต่ ฮีโร่ของชาติ อย่าง เซราฟิม โตโดรอฟ


Photo : The History

อดีตนักชกทีมชาติบัลแกเรีย ทำอาชีพมาแล้วหลายอย่าง ทั้ง พนักงานขับรถ, พนักงานร้านชำ และ คนงานโรงงานไส้กรอก แต่ไม่ว่าอาชีพไหน รายได้ล้วนไม่พอค่าใช้จ่าย แม้ภรรยาจะออกหางานทำช่วยเหลืออีกแรง แต่ฐานะพวกเขาไม่ดีขึ้น ซ้ำร้าย ทั้งสองถูกเลิกจ้าง กลายสภาพเป็นคนตกงานนานหลายปี

ปัจจุบัน โตโดรอฟ อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์เก่า ที่เมืองปาซาร์จีก ร่วมกับภรรยา ลูกชาย และสะใภ้ โดยตัวเขามีรายได้ราวเดือนละ 400 ยูโร หรือ 14,000 บาท ซึ่งเป็นเงินบำนาญจากรัฐบาล ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย

"ผมคือคนโง่ ผมกลับมาที่นี่ (แทนจะไปอเมริกา) และผมต้องพบกับนรกทั้งเป็น" โตโดรอฟ เปิดใจในปี 2015

อันที่จริง โตโดรอฟ มีทางเลือกจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่นั่นอาจหมายถึงนรกขุมลึกที่สุด ครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกชักชวนโดยกลุ่มพ่อค้ายาและมาเฟียตามท้องถนน ให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแก๊ง พร้อมกับตำแหน่งระดับกัปตัน หัวหน้ามาเฟียการันตีว่า เขาจะได้เงินจำนวนมากพอจะเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตัวเอง


Photo : sportskeeda

โตโดรอฟ ปฏิเสธ และคราวนี้ เขาไม่เสียดายการตัดสินใจของตัวเอง

"มีอาชญากรรมมากมายที่นี่ เรื่องราวดำมืดมากมายเกิดขึ้น ผมไม่ชอบมันเลย แต่ที่นี่ไม่มียิมมวย ไม่มีการฝึกซ้อม ผมไม่พูดคุยกับผู้คนแถบนี้มากนัก เพราะผมไม่อยากมีส่วนกับอะไร ผมไม่ต้องการมีเพื่อน ผมแค่อยากอยู่อย่างสงบ"

ความเศร้าแฝงอยู่ในคำกล่าวข้างต้นของ โตโดรอฟ แม้เวลาผ่านมากว่า 20 ปี เขาไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1996 ทั้งความผิดหวังในการปฏิเสธสัญญามวยอาชีพ และการถูกหักหลังโดยวงการมวยสากล โตโดรอฟ ถึงกับยอมรับว่า หากเขาแพ้ให้แก่ฟลอยด์ ชีวิตของเขาคงดีกว่าทุกวันนี้

ไม่ใช่ทุกคนที่จะก้าวข้ามความผิดหวัง ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะนั่งเสียใจอยู่กับมัน เซราฟิม โตโดรอฟ คือหนึ่งในคนที่ยอมรับความจริงนั้น แต่ท้ายที่สุด ชีวิตต้องเดินต่อไป และความหวังคือสิ่งสำคัญช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจ โตโดรอฟ พูดประโยคสุดท้ายที่บอกว่าเขายังสามารถยิ้มได้ แม้ถูกอดีตอันโหดร้ายหลอกหลอนตลอดชีวิต

"มันเป็นเรื่องในอดีต แทนที่จะนั่งคร่ำครวญ ผมเพียงแค่หวังว่าทุกอย่างจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้"


Photo : Cerochav

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook