เดิร์ก เคาท์ : มิสเตอร์ดูราเซลล์ผู้ไม่เด่นไม่ดัง แต่ทุกคนหลงรัก

เดิร์ก เคาท์ : มิสเตอร์ดูราเซลล์ผู้ไม่เด่นไม่ดัง แต่ทุกคนหลงรัก

เดิร์ก เคาท์ : มิสเตอร์ดูราเซลล์ผู้ไม่เด่นไม่ดัง แต่ทุกคนหลงรัก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ด้วยผลงาน 7 โทรฟี ในตลอดชีวิต 20 ปีของการค้าแข้ง อาจจะเรียกไม่ได้ว่า เดิร์ก เคาท์ ประสบความสำเร็จเทียบชั้นระดับตำนานนักเตะชาวดัตช์คนอื่นๆ

เขาอาจจะไม่ได้เป็นนักเตะที่มีทักษะเหลือร้ายแบบ รุด กุลลิท หรือยิงประตูได้อย่างคมกริบเหมือน มาร์โก ฟาน บาสเทน แต่กลับได้รับการยกย่องจาก โยฮันน์ ครัฟฟ์ ปรมาจารย์แห่งฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ผู้ล่วงลับ และเป็นขวัญใจของแฟนบอลเกือบทุกสโมสรที่ย้ายไปเล่น 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand


ยอดดาวยิงแห่งแดนกังหัน 

“ผมรู้ว่าผมเป็นนักเตะที่พอใช้ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่านี่จะเป็นเส้นทางของผม” เคาท์ กล่าวกับ FourFourTwo


Photo : www.footyfair.com

ไกลออกไปจากกรุงอัมสเตอร์ดัมทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 60 กิโลเมตร มีเมืองที่ชื่อว่า แค็ตไวจ์ค อัน ซี ตั้งอยู่ มันเป็นเมืองชายฝั่งทะเลของเนเธอร์แลนด์ ที่มีประชากรอยู่ราว 13,700 คน และที่สำคัญมันเป็นบ้านเกิดของชายที่ชื่อว่า เดิร์ก เคาท์ 

เคาท์ เติบโตขึ้นมาในครอบครัวของชาวประมงในเมืองแห่งนี้ เขาคือลูกคนที่ 3 ของครอบครัว และมีความชื่นชอบในการเล่นฟุตบอลมาก เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเข้าร่วมทีม ควิก บอย สโมสรในท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เป็นลูกหลานชาวประมง ซึ่งเป็นอาชีพที่สืบทอดตามสายเลือด ทำให้ เคาท์ ได้เรียนรู้งานชาวประมงของพ่อไปพร้อมกับการเล่นฟุตบอล และบางครั้งก็มักจะตามพ่อออกทะเลอยู่บ่อยๆ 

ในตอนเด็กเขายังสามารถทำมันควบคู่ไปได้ แต่พอเขาอายุ 11 มันก็ถึงทางที่ต้องเลือก ระหว่างทะเลกับฟุตบอล เขาชอบมันทั้งสองอย่าง แต่การออกทะเลกับพ่อ จะทำให้เขาต้องพลาดซ้อมกับทีมในช่วงกลางสัปดาห์ 

“สมัยเด็กๆ ผมชอบเอซี มิลานมาก พวกเขาคว้าแชมป์ทุกอย่างด้วยนักเตะชาวดัตช์เก่งๆ กุลลิท, ฟาน บาสเทน, ไรจ์การ์ด แต่ผมก็รู้เสมอว่า ผมคงไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น” เคาท์กล่าวกับ Daily Mail 

“ดูอย่าง (โรบิน) ฟาน เพอร์ซี เขาอาจจะไม่เก่งเท่าครัฟฟ์ แต่เขาเป็นนักเตะแบบที่นักเตะดัตช์ควรมี เขามีทักษะและพรสวรรค์ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่”  

“ผมบอกพ่อว่าผมอยากจะเป็นเหมือนเขา เป็นชาวประมง แต่ตอนผมอายุ 11 พ่อบอกผมผมว่าผมควรอยู่บนแผ่นดิน และพยายามเป็นนักฟุตบอลให้ได้ เขาบอกว่าผมต้องตัดสินใจเรื่องนี้”


Photo : thefootballcomrade.files.wordpress.com

แต่สุดท้ายเคาท์ก็เลือกฟุตบอลที่เขารัก เขาลงเล่นให้ควิกบอย ก่อนจะขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม จนกระทั่งอายุ 17 ฝีเท้าเขาก็ไปเตะตา อูเทรคท์ ทีมในลีกสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ และได้ดึงตัวไปร่วมทีม นั่นคือจุดเริ่มต้นการเป็นยอดดาวยิงของเขา 

หลังได้ลงเล่นให้อูเทรคท์ ในเกมกระชับมิตรเพียงแค่ 2 เกม เขาก็ยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมมาครองได้อย่างไม่ยากเย็น ในฤดูกาลดังกล่าวเขายิงให้ทีมไป 6 ประตูจากตำแหน่งปีก แม้จะไม่มากมาย แต่ได้รับคำชมจากความทุ่มเท 

ในฤดูกาลต่อมา เขาถูกดันขึ้นไปเล่นกองหน้าอย่างเต็มตัว และค่อยๆ เพิ่มสถิติตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ในปี 2003 เขาจะยิงได้ถึง 23 ประตูในทุกรายการ จนได้รับความสนใจจาก “บิ๊กทรี” ของเนเธอร์แลนด์ที่ประกอบไปด้วย อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม ก่อนที่จะลงเอยกับ เฟเยนูร์ด ในท้ายที่สุด 

แม้จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่ฟอร์มไม่เคยเปลี่ยน เขาทำงานหนัก และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จนก้าวมาเป็นดาวยิงแถวหน้าของลีก เคาท์ยิงไป 24 ประตูในฤดูกาลแรก ก่อนจะคว้าดาวซัลโวเอเรดิวิซีในฤดูกาลต่อมา ด้วยผลงาน 29 ประตู และยิงอีก 22 ประตูในฤดูกาล 2005-06 


Photo : www.dailymail.co.uk

ผลงานอันลือลั่นของเขาทำให้เคาท์ได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรป และหลายทีมในพรีเมียร์ลีก รวมไปถึง ลิเวอร์พูล และทันทีที่ทีมหงส์แดงกวักมือเรียก เขาก็ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด 

“มีโค้ชและแมวมองมาดูผมอยู่หลายครั้ง” เคาท์กล่าวก่อนเซ็นสัญญา

“แต่มีแค่ทีมเดียวที่อยู่ในฝันที่ผมอยากไปเล่น (ลิเวอร์พูล) และถ้าสโมสรแห่งนั้นต้องการผม ผมก็จะไป”

กองหน้าตัวรับ 

ด้วยค่าตัว 9 ล้านปอนด์ที่ถือว่าไม่ได้ถูกในสมัยนั้น บวกกับผลงานอันยอดเยี่ยมในเอเรดิวิซี ทำให้เคาท์ ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นยอดดาวยิงของทีม และในซีซั่นแรกก็ทำได้ไม่เลว หลังซัดไป 14 ประตูในทุกรายการ พร้อมทั้งคว้าตำแหน่งรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกกับทีม


Photo : propaganda.photoshelter.com

อย่างไรก็ดี ภาพดาวเตะจอมถล่มตาข่ายที่ติดตัวมาจากลีกดัตช์ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากตัวเขา เมื่อเคาท์ ถูกขยับไปเล่นในตำแหน่งปีกขวาบ่อยครั้ง และยิงไปเพียง 11 ประตูในซีซั่นต่อมา 

ในขณะเดียวกันบทบาทในสนามเขายังเปลี่ยนไป เขากลายเป็นกองหน้าที่คอยไล่กดดันคู่แข่งจากแดนหน้า มากกว่าการหาจังหวะยิงประตู และฉายา “กองหน้าตัวรับ” ก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวตนของเขา 

หลังจากนั้น เคาท์ก็ไม่เคยเข้าใกล้ความเป็นยอดดาวยิงอีกเลย ตลอดการค้าแข้งกับหงส์แดง ไม่มีฤดูกาลไหนที่เขายิงได้เกิน 15 ประตู แถมบางฤดูกาล ยังยิงในลีกได้ไม่ถึง 5 ลูก สรุป 6 ปีในสีเสื้อของลิเวอร์พูล เขายิงไปเพียง 71 ลูก น้อยกว่า 3 ปีในสีเสื้อของเฟเยนูร์ดที่ทำไป 83 ลูกเสียอีก 

ในฐานะกองหน้า ต้องเรียกกว่าเกือบสอบตก แต่เคาท์ ก็ยังได้รับความไว้วางใจจาก ราฟา เบนิเตซ กุนซือของลิเวอร์พูลในสมัยนั้นอยู่เสมอ และก็ยังถูกส่งลงสนามบ่อยครั้งในระดับไม่เคยต่ำกว่า 30 นัด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? 

หนึ่งในนั้นคือการเป็นผู้เล่นที่ชอบยิงประตูสำคัญอยู่เสมอ เขามักจะอยู่ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ของลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นไม่ว่าจะเป็นการยิงจุดโทษ ช่วยให้หงส์แดง เอาชนะการดวลเป้ากับเชลซี ในยูฟา แชมเปียนส์ลีก เมื่อปี 2007 หรือโหม่งประตูตีตื้นในนัดชิง UCL ที่พ่าย เอซี มิลาน ในปีเดียวกัน

แต่ที่แฟนบอลจดจำที่สุดคือการซัดแฮตทริคใส่คู่รักคู่แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือดในเดือนมีนาคม ปี 2011 และเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบ 21 ปีของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงได้ถึง 3 ประตูในการพบกับปีศาจแดง 


Photo : www.liverpoolecho.co.uk

หรือการลงมาเป็นตัวสำรองและสามารถยิงประตูขึ้นนำในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพ 2012 กับ คาร์ดิฟฟ์ ก่อนที่สุดท้ายทีมจะคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นโทรฟีเดียวของเคาท์ในสีเสื้อลิเวอร์พูลอีกด้วย 

ตลอดชีวิตในพรีเมียร์ลีก เคาท์ ยิงได้ถึง 5 ประตูในเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์กับ เอฟเวอร์ตัน, ยิง 4 ประตูใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และยิง 3 ประตูในเกมพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี รวมแล้ว 28 เปอร์เซนต์ของประตูที่เขาทำให้ลิเวอร์พูล ล้วนเกิดขึ้นกับเหล่า “บิ๊ก 6” และเอฟเวอร์ตัน  

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ทำให้ผู้จัดการทีมรักเขา

มิสเตอร์ดูราเซลล์ 

เคาท์ อาจจะไม่ใช่นักเตะที่มีความเร็ว มีเทคนิคแพรวพราว หรือยิงประตูได้อย่างเฉียบคม แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่ผู้จัดการทุกคนชอบ นั่นคือความขยัน ในแผนกองหน้าสามตัวของ ราฟา เบนิเตซ เขาคือคนที่คอยวิ่งกดดันคู่แข่งตลอดทั้งเกม จนได้รับฉายาว่า “มิสเตอร์ดูราเซลล์” 


Photo : www.zimbio.com

เขายังมีความฟิตเป็นระดับต้นๆ ของทีม สมัยเล่นที่เนเธอร์แลนด์ ดาวเตะผมบลอนด์พลาดโอกาสลงสนามไปเพียง 5 เกมจาก 232 เกม ตลอด 7 ปีกับอูเทรคท์และเฟเยนูร์ด และเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นติดต่อกัน 179 นัดในช่วงเดือนมีนาคม 2001 ถึงเดือนเมษายน 2008 

“คุณสามารถเรียกเขาว่ามิสเตอร์ดูราเซลล์ เพราะวิธีที่เขาเล่น เขาวิ่งอยู่ตลอดเวลาและวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เรารู้ตอนที่เราเซ็นสัญญาว่าเขาเป็นนักเตะแบบนั้น เพราะสิ่งที่เขาทำมานานหลายปี” เบนิเตซกล่าวกับ Telegraph เมื่อปี 2009 

“คุณสามารถใช้เขาได้ในหลายทาง ดังนั้นจึงค่อนข้างการันตีว่าเขาจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน” 

นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะที่มีความเป็นมืออาชีพ เคาท์ไม่เคยปริปากบ่นไม่ว่าผู้จัดการทีมจะให้เล่นตำแหน่งไหน แค่เพียงสั่งมาเขาพร้อมที่จะลงเล่นเพื่อทีมเสมอ


Photo : www.arsenalpics.com

“เคาท์มีสภาพจิตใจที่ยอดเยี่ยม เราคุยเรื่องเขาที่เป็นกองหน้า และต้องเล่นฝั่งขวาเพราะเราต้องการแบบนั้น เขายังเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำได้อีกด้วย” เบนิเตซกล่าวกับ Goal 

“ตอนที่เราเล่นบอลถ้วย และ ฟิลิปป์ เดเกน มีอาการเป็นตะคริว เขาบอกผมว่าถ้าคุณต้องการ ผมเล่นแบ็คขวาให้ได้นะ” 

หรือในเกมทีมชาตินัดที่ 100 ที่พบเม็กซิโก ในฟุตบอลโลก 2014 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เขาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในตำแหน่งวิงแบ็คซ้าย และถูกโยกไปเล่นแบ็คขวา และเมื่อทีมต้องการประตูเขาก็ย้ายมาเล่นกองหน้า และจบเกมด้วยตำแหน่งวิงแบ็คขวา 

หากเป็นนักเตะคนอื่นอาจจะหัวเสียที่ถูกสลับตำแหน่งจนไม่รู้ว่าตำแหน่งจริงๆ ของตัวเองคือตำแหน่งไหน แต่ไม่ใช่สำหรับเคาท์ เขาพร้อมที่จะเล่นทุกตำแหน่งโดยไม่อิดออด หากผู้จัดการเห็นว่าเหมาะสม


Photo :  www.zimbio.com

“ผมได้พูดอะไรกับเขานิดนึง ผมบอกเขาว่าผมภูมิใจในตัวเขา และเขาก็เป็นตัวอย่างให้กับทั้งพวกดาวรุ่งและพวกวัยเก๋า” โรบิน ฟาน เฟอร์ซี กองหน้าเพื่อนร่วมชาติกล่าวหลังเกมกับเม็กซิโก 

“มันมหัศจรรย์มาก (ที่เล่นให้ฮอลแลนด์ครบ 100 นัด) หากใครควรได้รับสิ่งนี้ ก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน” 

เขาคือนักตะที่รับประกันความทุ่มเท ไม่ว่าโอกาสไหน คู่แข่งคือใคร หรือลงเล่นที่ไหน เขาพร้อมที่จะลงเล่นเพื่อทีม แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง

 

ที่หนึ่งไม่ไหว เต็มใจเป็นที่สอง 

แม้ว่าจะแจ้งเกิดจากตำแหน่งกองหน้าในลีกแดนกังหันลม แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าภาพจำที่สร้างชื่อให้กับเคาท์ คือความทุ่มเท และความพร้อมที่จะเป็นตัวสนับสนุนทีม


Photo : forum.kooora.com

เขายอมที่จะไม่เป็นเบอร์หนึ่ง และยอมลดบทบาท หากมันทำให้ทีมชนะ ในตอนที่ เฟร์นันโด ตอร์เรส เข้ามาในปี 2007 หากเป็นผู้เล่นคนอื่น อาจจะต้องกลัวว่าตัวเองหลุดตำแหน่ง แต่ไม่ใช่สำหรับเคาท์ เขาปรับตัวให้เขากับเพื่อนร่วมทีมใหม่ ถอยตัวเองลงมาเป็นตัวสนับสนุน และช่วยให้กองหน้าชาวสเปนยิงประตูได้อย่างถล่มทลาย โดยที่เขาทำไป 4 แอสซิสต์ 

“กองหน้าบางคนอาจจะไม่ชอบที่เห็นใครสักคนอย่างตอร์เรสเข้ามา และยิงประตูได้มากมาย” เคาท์กล่าว 

“แต่สำหรับผม ผมภูมิใจที่ได้เล่นเคียงข้างเขา และภูมิใจที่ได้เล่นกับ สตีวี (เจอร์ราร์ด) เช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องคุณสมบัติของผม หนึ่งในนั้นคือการเล่นได้หลายตำแหน่ง และผมก็มีความสุขกับความทุ่มเทที่ผมสร้างขึ้น โค้ชเคยบอกผมว่าไม่ต้องวิ่งเยอะหรอก ถ้าผมสามารถออมแรง ผมจะมีพลังในการทำประตู” 

“แต่ผมอยากชนะ และเพื่อชัยชนะคุณก็ต้องทำงาน ผมชอบวิ่งและชอบเล่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ยิ่งผมได้เล่นมากขึ้น ผมก็จะรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น” 

เขาเป็นเหมือนผู้ช่วยของซูเปอร์สตาร์ หลังจากตอร์เรส ย้ายไปร่วมทีมเชลซี หลุยส์ ซัวเรซ ก็เข้ามา ตอนนั้น ดาวเตะชาวอุรุกวัยแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และเป็น เคาท์ ที่ช่วยเป็นล่ามให้ จากการที่ซัวเรซ พูดภาษาดัตช์ได้ตั้งแต่สมัยเล่นในเนเธอร์แลนด์ 


Photo : www.zimbio.com

ในขณะเดียวกันในสนามเขาก็เล่นอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนความสามารถของซัวเรซ ที่มีทั้งทักษะ ความเร็ว และความสามารถเฉพาะตัว รวมไปถึงการจบสกอร์ที่แม่นยำ 

“ผมเข้าใจเดิร์กในสนามได้ทันที เพราะว่าเราทั้งคู่มาจากโรงเรียนฟุตบอลของดัตช์ เวลาที่ต้องจ่ายแล้วไป ชิ่งแล้วไปอะไรประมาณนั้น เราต่างทันกัน” ซัวเรซกล่าวใน Crossing the Line หนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองเมื่อปี 2014

การเล่นอย่างทุ่มเท ความไม่เห็นแก่ตัว และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ ทำให้ เคาท์ สามารถเล่นร่วมกับนักเตะได้ทุกระดับ พรสวรรค์ได้อย่างไม่ติดขัด และได้รับความเชื่อใจจากผู้จัดการทีม ในฟุตบอลโลก 2010 ที่เนเธอร์แลนด์คว้ารองแชมป์ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงครบทั้ง 7 นัด 

“มันไม่ใช่แค่ความสามารถรอบด้านของเขา แต่ความเป็นจริงคือความฟิตเขาดีมากๆ มันคือความสามารถทางจิตใจ เขาพร้อมเสมอที่จะช่วยทีม เขาเป็นผู้เล่นที่ผู้จัดการทีมทุกคนอยากมีอยู่ในทีม คุณจะให้เขาลงเล่นหรือไม่ก็ตาม แต่เขาเล่นได้เสมอ เขาพร้อมเสมอ และช่วยทีมได้ตลอด” เบนิเตซกล่าว 

“เวลาพูดถึงชุดนักเตะหรือทีมที่จะเอาชนะ เราจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่มีสภาพจิตใจเช่นนี้ ถ้าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อเกม หรือเอาผู้เล่นไปอยู่ในตำแหน่งอื่น เขาเล่นได้เสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับผู้จัดการทีม”


Photo : www.irishmirror.ie

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ทัศนคติ และความปรารถนาที่จะลงรับใช้ทีมอย่างสุดความสามารถ ที่ทำให้เขากลายเป็นที่รักแก่ผู้จัดการทีม และแฟนบอล 

“เดิร์ก เคาท์ เกินกว่าความเป็นเลิศ เขาคือนักเตะที่ทำเพื่อทีม” เบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ค อดีตกุนซือเนเธอร์แลนด์กล่าว 

“เขาคือตัวอย่างของนักเตะอัจฉริยะเพื่อทีมที่แท้จริง เขาจดจ่อ เขาทำงานหนักเพื่อทีม และส่งสัญญาณบวกไปให้ผู้เล่นคนอื่น ผมรู้สึกยินดีที่มีเขาในทีม”

 

ปิดฉากเยี่ยงราชา 

ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่มีสูตรสำเร็จ ไม่ใช่กีฬาที่ซูเปอร์สตาร์ 11 คน ลงไปเล่นแล้วทำให้ทีมชนะ มันต้องมีผู้เล่นที่คอยทำหน้าที่ที่ไม่มีใครอยากทำ และเป็นเคาท์ ที่เป็นคนซึ่งรับมันไปทำโดยตลอด 


Photo : tr.eurosport.com

“มันจะมีนักเตะแบบที่เปลี่ยนเกมเพียงแค่การสัมผัสบอลแค่ครั้งเดียว และอีกแบบคือคนที่คอยสนับสนุนช่วยทีม ผมไม่มีปัญหาและยอมรับว่าผมเป็นอย่างหลัง ผมพยายามทำในสิ่งที่ผมทำได้เพื่อชัยชนะในแต่ละเกม ผมคือตัวชน” เคาท์กล่าวกับ Goal 

“ทุกเกมสำคัญเท่ากันสำหรับผม และหากคุณเอาชนะได้ทุกครั้ง สุดท้ายแชมป์ก็จะมาหาเอง” 

เขายอมเป็นนักเตะที่ไม่โดดเด่น แต่มีประโยชน์สำหรับทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด 20 ปีในชีวิตการค้าแข้ง และในที่สุดความทุ่มเทของเขา ก็ได้รับการตอบแทนในปีสุดท้ายของการเป็นนักฟุตบอล 

หลังย้ายกลับมาร่วมทัพเฟเยนูร์ดในปี 2015 เขาใช้เวลาเพียงสองปี ก็สามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการทำแฮตทริคในนัดสุดท้าย พาทีมเอาชนะ เฮราเคิล อัลเมโล 3-1 พร้อมผงาดคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ก่อนที่ 3 วันถัดมาเขาจะประกาศเลิกเล่นอย่างเป็นทางการ 


Photo : www.goal.com

“ตลอดชีวิตนักฟุตบอลของผม ผมมักจะทำตามหัวใจอยู่เสมอ ทั้งตอนที่ตัดสินใจและอะไรที่เป็นแบบนี้” แถลงการณ์ของเคาท์ผ่านสโมสร 

“สำหรับผม ผมรู้สึกว่าเป็นเวลาที่พอดีที่ผมจะเลิกเล่น ผมมีสองปีสุดมหัศจรรย์นับตั้งแต่กลับมาเฟเยนูร์ด และด้วยการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์ ผมเคยฝันที่จะคว้าถ้วยและเป็นแชมป์กับเฟเยนูร์ด ตอนนี้ฝันทุกอย่างของผมเป็นจริงแล้ว” 

มันคือรางวัลที่เขาสมควรได้รับ เป็นของขวัญทั้งตัวเขาและแฟนบอลรอคอย และเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าความพยายามของเขามันไม่เคยสูญเปล่า ที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของทีม อย่างที่ โยฮัน ครัฟฟ์ ปรมาจารย์แห่งฟุตบอลดัตช์ผู้ล่วงลับกล่าวเอาไว้  


Photo : thefootballcomrade.wordpress.com

“อาร์เยน ร็อบเบน อาจจะเป็นสตาร์ เวสลีย์ ชไนเดอร์ อาจจะเป็นฮีโรผู้ถูกลืมที่เสียสละตัวเอง แต่สัญลักษณ์ของทีมคือ เดิร์ก เคาท์” ครัฟฟ์กล่าว 

“เหมือนฟ้ามาโปรดถ้าทีมมีคนอย่างเขาวิ่งไปรอบๆ การมีเคาท์ ทำให้คุณสามารถวางแทคติกได้ทุกรูปแบบจริงๆ”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook