อย่ามองข้าม อิตาลี จากสารบบแชมป์

อย่ามองข้าม อิตาลี จากสารบบแชมป์

อย่ามองข้าม อิตาลี จากสารบบแชมป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เหลืออีกเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ฟุตบอลโลก 2010 กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว แต่ดูเหมือนสายตาของนักวิจารณ์ และ แฟนบอลส่วนใหญ่จะมองว่าแชมป์ในปีนี้น่าจะตกเป็นของ 2 ชาติตัวเต็งอย่าง บราซิล และ สเปน หรือแม้กระทั่ง อังกฤษ มากกว่าจะเป็นอดีตแชมป์หลายสมัยอย่าง อิตาลี

อิตาลี อดีตแชมป์โลก 4 สมัย พิสูจน์ให้เห็นในการคว้าแชมป์ 2 หนหลังสุดของพวกเขาทั้งในปี 1982 และ 2006 ว่าถึงแม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรค หรือ วิกฤติในวงการฟุตบอลในประเทศมากแค่ไหน แต่นั่นไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาต่อการก้าวไปคว้าแชมป์โลกในบั้นปลายแต่อย่างใด

ในปี 1982 เปาโล รอสซี่ ศูนย์หน้าของ อิตาลี เพิ่งจะพ้นโทษแบนส่วนตัวจากกรณีล้มบอลอันอื้อฉาว โดยเขาตอบแทนความไว้วางใจที่ทีมใส่ชื่อเขาไปเล่นในรอบสุดท้ายด้วยฟอร์มที่สุดยอด โดยนอกจากจะซัดแฮตทริคใส่ บราซิล ในรอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 พาทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ เขายังยิงตลอดทุกเกมหลังจากนั้นรวมถึง 1 ประตูในเกมรอบชิงชนะเลิศจนพา อิตาลี สยบ "อินทรีเหล็ก" เยอรมันตะวันตก ในเวลานั้นไปด้วยสกอร์ 3-1 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครองได้สำเร็จเป็นชาติที่ 2 ของโลกถัดจาก บราซิล และตัวของ รอสซี่ เองก็ยังคว้าดาวซัลโวสูงสุด และ นักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์พ่วงท้ายเพิ่มเติมมาอีก 2 รางวัลด้วย

ส่วนหนหลังสุดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนที่ประเทศ เยอรมนี นั้น วงการฟุตบอลของ อิตาลี มาถึงจุดเสื่อมหลังจากกรณีล็อคผลบอลอันอื้อฉาวในลีกของพวกเขา อย่างไรก็ดีบรรดาขุนพลแข้ง อัซซูรี่ ก็ผนึกกำลังกันหักด่าน ฝรั่งเศส ในรอบชิงชนะเลิศคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ได้ และเหลือตามหลัง บราซิล เพียงสมัยเดียวเท่านั้น

 

ความพร้อมของ อิตาลี ในหนนี้ก็ดูดีทีเดียวเมื่อพิจารณาจากผลงานในรอบคัดเลือก ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์กลุ่ม และส่งให้ ไอร์แลนด์ ต้องไปเพลย์ออฟ แต่สิ่งที่ มาร์เซโล่ ลิปปี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชน และ บรรดาแฟนบอลคงจะเป็นเรื่องตัวผู้เล่นที่ ลิปปี้ เลือกไปร่วมหัวจมท้ายด้วยที่ แอฟริกาใต้ มากกว่า โดยนักเตะที่สื่อ และ แฟนๆอยากเห็นหลายๆคนไม่ได้ติดทีมมาป้องกันแชมป์ที่แอฟริกาใต้ด้วย

ในส่วนของผู้รักษาประตูนั้นยังมี จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ยืนตระหง่านเป็นด่านสุดท้าย แน่นอนว่า บุฟฟ่อน ยังอยู่ในฟอร์มที่ดีอยู่ และยังเป็นที่พึ่งให้เพื่อนๆได้เสมอในยามที่ต้องการความเหนียวแน่นไม่เสียประตู

ขยับขึ้นมาในแนวรับจะเห็นว่าเป็นสายเลือดใหม่ หรือ พวกดาวรุ่งเสียเยอะ อาจจะมีคู่ปราการหลังอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ เป็นแกน รวมถึง จานลูก้า ซามบร็อตต้า แต่ถ้าเอาไปเทียบกับเมื่อ 4 ปีที่แล้วนั้นต้องยอมรับว่าพวกเขาดูจะไม่เข้มข้นเท่ากับชุดคว้าแชมป์หนก่อน

ขุมกำลังตรงกลางสนามที่ ลิปปี้ เลือกใส่มาลุย แอฟริกาใต้ นั้น มีตัวหลักๆอย่าง ริโน่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่ และ เมาโร คาโมราเนซี่ อยู่ เมื่อรวมเข้ากับนักเตะเลือดใหม่อย่าง ริคาร์โด้ มอนโตลิโว่ จาก ฟิออเรนติน่า หรือ ซิโมเน่ เปเป้ ของ อูดิเนเซ่ ทำให้แดนกลางของ อิตาลี ยังดูแข็งแกร่งอยู่เหมือนเดิม

 

สุดท้ายในแดนหน้าถือว่า ลิปปี้ เลือกใช้งานกองหน้าประเภทอายุไม่เยอะ ฟอร์มดี และ ตัดสินใจผลงานของต้นสังกัด ยกเว้นก็แต่เจ้า "ปีเตอร์แพน" อันโตนิโอ คาสซาโน่ ที่รู้กันทั้งโลกว่าไม่มีทางติดทีมชาติ อิตาลี แน่ หากตำแหน่ง อิล ซีที ยังมีชื่อของ ลิปปี้ อยู่ทั้งคน

อิตาลี อยู่ในกลุ่ม เอฟ ของฟุตบอลโลกหนนี้ มีทีมร่วมกลุ่มอย่าง ปารากวัย, นิวซีแลนด์ และ สโลวาเกีย ดูจากหนทางแล้วรอบแรกของพวกเขาน่าจะผ่านแบบไม่ยาก แต่จะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่รอบ 2 หรือ รอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นทีมรองแชมป์ของกลุ่ม อี ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ทั้ง เดนมาร์ก หรือ แคเมอรูน หรือ อาจจับพลัดจับผลูเป็น ฮอลแลนด์ ในกรณีที่ทีม “อัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ โดนเบียดให้หลุดเข้ารอบมาเป็นที่ 2 ของกลุ่มดังกล่าว

หากมองกันเล่นๆต่อไปว่า อิตาลี เข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้วมีโอกาสจะต้องไปเจอกับทีมใดต่อตรงนั้นอาจจะมีทั้ง สเปน หรือ โปรตุเกส หรือ ไอวอรี่โคสต์ ยืนขวางทางอีกด่าน จะเห็นได้ว่าเส้นทางของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆ ขณะที่รอบรองชนะเลิศถ้ามากันตามโผ ก็คงจะหนีไม่พ้นต้องเจอกับ อาร์เจนติน่า และ เยอรมนี เข้าให้อีก เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ดีแท้

อย่างไรก็ดี อิตาลี ได้ชื่อว่าได้แชมป์เป็นรองเพียงแค่ บราซิล เท่านั้น นั่นน่าจะพอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในฟุตบอลแบบฉบับของพวกเขาแม้จะไม่ได้มัดใจผู้คนทั่วโลกเท่ากับทีมที่เล่นเน้นเอนเตอร์เทนก็ตาม เพราะ อิตาลี คงไม่สนใจเรื่องอื่นนอกเหนือจากผลลัพธ์สุดท้ายก็คือการได้ชู ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ โทรฟี่ ในวันสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์เท่านั้น

 


มาร์ค สุรเดช

ผู้บรรยายกีฬา True Visions และ บรรณาธิการบทความ FourFourTwo

 

(ภาพจาก Getty Images)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook