ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี เจ้าของร้านเพชร เบิกความเท็จคดีแพะชิงเพชร 15 ล้าน

ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี เจ้าของร้านเพชร เบิกความเท็จคดีแพะชิงเพชร 15 ล้าน

ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี เจ้าของร้านเพชร เบิกความเท็จคดีแพะชิงเพชร 15 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี เจ้าของร้านเพชร เบิกความเท็จคดีแพะชิงเพชร 15 ล้าน เหยื่อติดคุกฟรี 7 เดือน เผยยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษ

(20 ม.ค.65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ความคืบหน้าสำหรับ คดีแพะชิงเพชร กรณี นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อายุ 53 ปี พ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ในชุมชนวัดกกต้อง ซอยสุขาวดี  ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ก่อเหตุชิงเพชรมูลค่า มากกว่า 15 ล้านบาท หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.บางเสาธง นำหมายศาล เข้าจับกุมที่บ้านเช่า เลขที่ 1 ในชุมชนวัดกกต้อง ซอยสุขาวดี  ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม  เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 ในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ เป็นเพชรมูลค่า กว่า 15 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อ วันที่ 28 ธันวาคม 2559

จนกระทั่งนำตัวไปฝากขังเข้าเรือนจำ พิเศษธนบุรี นาน กว่า 7 เดือน 10 วัน จนกระทั่งศาลอาญาธนบุรี พิพากษายกฟ้อง ปล่อยตัวสู่อิสรภาพ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 หลังกระทรวงยุติธรรม ได้ให้การช่วยเหลือ ในเรื่องของการหาพยานหลักฐาน มาหักล้างกับศาล จนได้มาซึ่งอิสรภาพ แต่ทางโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อ และในที่สุดศาลอาญาธนบุรีอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 คดีจึงเป็นที่สิ้นสุดเมื่อโจทก์ไม่ยื่นฎีกา สุดท้าย ทางด้าน นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์  อายุ 53 ปี ที่ตกเป็นแพะยื่นฟ้องเอาผิดทางอาญาเอาผิดคืน

โดยล่าสุด (20 ม.ค.65) ทางศาลอาญาธนบุรี ได้พิพากษา ตัดสิน คดีหมายเลขดำ อ.1150/2562 สั่งจำคุก จำเลยที่ 1 คือ นางสาวบุญญารัตน์ รัศมีสุขขานนท์ จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานความผิดเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นฯ และเบิกความเท็จในการพิจารณาต่อศาล ส่วนจำเลยที่เกี่ยวข้อง อีก 3 คน ยกฟ้อง ภายหลังเจ้าของร้านเพชรที่ตกเป็นจำเลย ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ โดยมีหลักประกันวงเงิน 1.5 แสนบาท

ทางด้าน นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อายุ 53 ปี พ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง หรือ แพะชิงเพชร เปิดเผยหลังคำพิพากษาว่า รอคอยวันนี้ต่อสู้มาเกือบ 5 ปี ชีวิตครอบครัวพังหมด ถึงแม้จะได้รับอิสรภาพ แต่ครอบครัวที่สร้างมา กว่า 30 ปี กับภรรยา ลูกชายอีก 1 คน อายุ 18 ปี แบกภาระหนี้สิน รถยนต์ถูกยึด ต้องหายืมเงินจากพี่น้อง สู้คดีเองมาตลอด มาถึงวันนี้ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม ที่ยังมีความเป็นธรรมในสังคม อยากให้คนที่ปรักปรำให้ร้ายคนเองได้รับโทษถึงที่สุด เพราะตนยืนยันตลอดว่าไม่ได้กระทำผิด แต่ยังปรักปรำมาตลอด ระหว่างต่อสู้คดี ยังไม่เคยมาเจรจาขอโทษแม้แต่ครั้งเดียว ยังยืนยันว่าตนผิดถึงนาทีสุดท้าย ทั้งที่พยานหลักฐานชัดเจนตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันคงหลอกหลอนไปจนวันตาย 

หากไม่คิดถึงพ่อ แม่ ภรรยา ลูก เคยคิดว่าเขาน่าจะฆ่าผมให้ตายตั้งแต่วันแรกที่มาจับผมไป ไม่ต้องมาเจอสิ่งเลวร้ายขนาดนี้ แล้วถามคืนว่า จับผมไปทั้งที่ผมไม่ผิด สำคัญที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สุดเถื่อนจับกุมแล้วยังใส่กุญแจมือไพล่หลัง รุมซ้อมจนอ่วมช้ำไปทั้งตัว ก่อนนำตัวเข้าไปกรุงเทพ ส่งฝากขัง ผมผิดอะไร ชีวิตครอบครัวพวกผม มันพังหมดแล้ว มีใครคืนชีวิตที่มีความสุขแบบเดิมให้ได้

หลังจากนี้ตนจะหารือทนายความ ฟ้องแพ่งเรียกร้องค่าเสียหาย รวมถึงเตรียมร้องทุกข์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีเอาผิดกับตำรวจที่กระทำเกินกว่าเหตุด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งผู้กล่าวหา รวมถึงหน่วยงานตำรวจไม่เคยมาดูแลเยียวยา ไม่มีแม้กระทั่งคำว่าขอโทษ อย่างไรก็ตามตนขอให้ตนเป็นแค่คดีสุดท้าย ไม่อยากให้ใครตกเป็นแพะ 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook