ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคุก 2 ปี ปรับ 2 แสน "ศิริโชค โสภา" คดีหมิ่นเจ้าของโรงแรมดัง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคุก 2 ปี ปรับ 2 แสน "ศิริโชค โสภา" คดีหมิ่นเจ้าของโรงแรมดัง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคุก 2 ปี ปรับ 2 แสน "ศิริโชค โสภา" คดีหมิ่นเจ้าของโรงแรมดัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

1 พ.ค. 62 - ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.3352/2558 ที่นายอนุชา สิหนาทกถากุล อายุ 60 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตระกูลดัง บุตรชายของนายมนตรี เจ้าของธุรกิจโรงแรมแลนด์มาร์ค เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศิริโชค โสภา อายุ 52 ปี อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลย คดีในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 

กรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ค. - 8 ต.ค. 2558 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำนองว่าบิดาของโจทก์เป็นคนไม่ดี ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งทำให้โจทก์รู้สึกได้รับความเสียหาย จึงนำเรื่องมายื่นฟ้องเป็นคดี โดยนายศิริโชค จำเลยให้การปฏิเสธ

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2560 ระบุว่า การที่จำเลยได้โพสต์เฟซบุ๊กประกอบภาพถ่ายระบุว่า แม่โดนหลอกให้ทำสัญญาเงินกู้แล้วไม่ได้รับเงิน สร้างหลักฐานเท็จมาฟ้องคดี และที่แม่ถูกจำคุกเพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอนั้น ทำให้ผู้ติดตามเฟซบุ๊กจำเลยเข้ามาแสดงความคิดเห็นตำหนิบิดาของโจทก์และครอบครัวโจทก์ว่าเป็นคนไม่ดีได้รับความเสียหาย ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงพิพากษาว่านายศิริโชค จำเลย มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 100,000 บาท พร้อมทั้งให้จำเลย ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับด้วย เป็นเวลา 7 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และเมื่อพิเคราะห์ถึงจำเลยแล้วเป็นบุคคลสาธารณะ เคยทำประโยชน์ ไม่เคยต้องโทษมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี

ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นอทุธรณ์ ขอให้ศาลไม่รอลงอาญาจำเลย ขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ด้วยเช่นกันในประเด็นพิสูจน์ผู้โพสต์ข้อความ

ซึ่งวันนี้ นายศิริโชค จำเลย เดินทางมาศาลพร้อมกับครอบครัวและคณะทนายความ เพื่อฟังคำพิพากษา ส่วนโจทก์มีเพียงผู้แทนรับมอบอำนาจมาศาล

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า แม้โจทก์ไม่สามารถนำสืบเรื่อง IP Address แสดงตำแหน่งจุดผู้โพสต์จากระบบคอมพิวเตอร์ได้ชัดเจน แต่สามารถนำสืบเรื่อง URL ที่สอดคล้องกับเฟซบุ๊กจำเลยได้ มีทั้งชื่อและภาพโปร์ไฟล์ของจำเลย และเมื่อดูข้อความที่เคยโพสต์ก็ล้วนเป็นข้อมูลภายในที่บุคคลภายในและเกี่ยวข้องจะต้องทราบเท่านั้น เช่น ข้อมูลไฟดับภายในพรรคประชาธิปัตย์จนเข้าเว็บไซต์พรรคไม่ได้ ข้อมูลการตรวจสอบเรื่องต่างๆ รวมทั้งคดีความระหว่างครอบครัวโจทก์กับครอบครัวจำเลย 

ส่วนที่ว่าเคยมีเหตุการณ์การปลอมเฟซบุ๊กผู้มีชื่อเสียงนั้น แต่ก็ไม่เคยปรากฏกรณีของจำเลยมาก่อน น้ำหนักพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กของตนซึ่งกล่าวพาดพิงถึงบิดาโจทก์ ผู้ตาย เกี่ยวกับเรื่องคดีกู้ยืมเงินระหว่างบิดาโจทก์กับ น.ส.เสาวรส โสภา มารดาของนายศิริโชค จำเลย ทำให้บุคคลที่ 3 เข้าใจว่าเป็นบิดาโจทก์และครอบครัวโจทก์ เป็นคนไม่ดี คนโกง คนทำผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่การติชมโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนโดยชอบธรรม อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นให้รอการลงโทษจำเลยนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าแม้การกระทำนั้นเป็นการหมิ่นประมาทฯ แต่ก็ยังสามารถเยียวยาโจทก์ได้ด้วยการลงโฆษณา ขอโทษหรือคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ได้ ขณะที่นายศิริโชค จำเลย เคยทำความดีโพสต์เรื่องการใช้รถราชการขนยาเสพติดมาก่อน ซึ่งเป็นการตรวจสอบทำประโยชน์เพื่อสังคม และต้องเสี่ยงภัยต่อขบวนการยาเสพติดด้วย ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยผิดฐานหมิ่นประมาทฯ และให้รอลงอาญา จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายศิริโชค เปิดเผยว่า พอใจกับคำพิพากษาระดับหนึ่ง ส่วนจะมีการฎีกาอีกหรือไม่ขอปรึกษากับทนายความก่อน สำหรับการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์นั้นยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาคดียังมีการอุทธรณ์อยู่ ผลคดียังไม่สิ้นสุด โดยหลังจากนี้ฝ่ายโจทก์เองยังจะฎีกาอีกหรือไม่ ก็ต้องรอดูเช่นกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook