David Foster กับสูตรสำเร็จเพลงฮิต และกระแสศิลปินยุค social media ครองเมือง | Sanook Music

David Foster กับสูตรสำเร็จเพลงฮิต และกระแสศิลปินยุค social media ครองเมือง

David Foster กับสูตรสำเร็จเพลงฮิต และกระแสศิลปินยุค social media ครองเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่เฝ้ารอมานาน ในที่สุดก็มาถึงจนได้ สำหรับ session สัมภาษณ์แบบ exclusive กับเจ้าพ่อเพลงฮิต เจ้าของฉายา HITMAN อย่าง David Foster ที่คราวนี้มาเยี่ยมมาเยือนเมืองไทยเป็นครั้งที่ 3 พร้อมผองเพื่อนที่ถูกใจคอเพลงยุค 90s’ สุดๆ ทั้ง Natalie Imbruglia, Melanie C, Richard Marx, Peter Cetera และ Gerphil Flores เจ้าของปุ่ม Gold Buzzer ที่ David Foster กดให้เมื่อครั้งที่เขาเป็นกรรมการรายการเรียลลิตี้โชว์ค้นหาสุดยอดคนมีพรสวรรค์ในเอเชียอย่าง Asia’s Got Talent 

หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ยืนตรงหน้า David Foster จากที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร จู่ๆ ก็มือเย็น ใจเต้นขึ้นมาทันที บุคคลตรงหน้าคือโปรดิวเซอร์มือทองที่จับทำเพลงอะไรก็กลายเป็นเพลงฮิตระดับโลกไปเสียหมด พูดชื่อเพลงอะไรมาเราก็ร้องอ๋อ และเราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงเพราะเหล่านั้น เพลงบัลลาดสุดคลาสสิก กับเนื้อเพลง และท่วงทำนองที่ติดหูจนไม่สามารถลืมได้ลง ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าในระยะไม่เกิน 2 เมตร

แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ David กล่าวอย่างสุภาพว่า “ระวังนะครับ ผมไม่ค่อยสบายเท่าไร ไม่อยากให้ติดหวัด” เราตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี เพื่อทำลายบรรยากาศเงียบๆ ระหว่างนั้นว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแข็งแรงมาก” David จึงยิ้มและตอบกลับมาว่า “ไหน แข็งแรงขนาดไหน” พร้อมยื่นมือทำท่าจะงัดข้อ แต่เขาก็รู้ตัวว่าไม่อยากให้เราติดหวัด เขาจึงขอทักทายเป็น “เอาข้อศอกชนกัน” แทน เป็นกันเองตั้งแต่เริ่มขนาดนี้ การสัมภาษณ์ในครั้งนี้คงสนุกกว่าที่คิดแน่นอน

 

จากการเป็นโปรดิวเซอร์มือทองที่ร่วมงานกับศิลปินมาแล้วมากมาย ศิลปินคนไหนที่เป็นสุดยอดศิลปิน ที่คุณชื่นชม และช่วยคุณรังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด

ยากเหมือนกันนะ ผมคิดว่าศิลปินที่ทำให้ผมได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมากที่สุดน่าจะเป็น Andrea Bocelli (ศิลปินโอเปร่า/ป๊อป นักร้อง นักแต่งเพลงชาวอิตาลี ที่มีความพิการทางสายตา) เพราะเขาทำงานเพลงได้ยอดเยี่ยมทั้งเพลงคลาสสิก และเพลงป๊อบ ศิลปินอีกคนหนึ่งที่ผมชื่นชมมากในช่วงนี้คือ Sting (ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ อดีตสมาชิกวง The Police) ผมอยากร่วมงานกับเขามาก แต่เขาดูเหมือนไม่อยากทำงานกับผม (หัวเราะ) ดูเหมือนเลี่ยงผมตลอด คือเราเป็นเพื่อนกันนะ แต่ระดับเขาคงไม่ต้องให้ผมช่วยทำเพลงหรอกมั้ง ถึงอย่างนั้นผมก็ชอบเพลงของเขามากนะ เราได้แสดงสดบนเวทีด้วยกันในเทศกาลดนตรี Java Jazz Festival เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หลังจบเพลงผมกับเพื่อนก็นั่งดูการแสดงของเขาต่อ เขาเยี่ยมมากจริงๆ

 

ได้ยินมาว่าคุณเองก็ไม่ได้ชอบเพลงป็อบมาตั้งแต่แรก จริงๆ แล้วคุณอยากทำเพลงแนวไหนมากที่สุด?

ถ้าผมมีโอกาส หรือว่าไม่จำเป็นต้องคิดถึงใครอื่นนอกจากผมเพียงคนเดียว ผมคงเลือกที่จะทำเพลงบรรเลงเปียโน แต่มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ผมเคยออกอัลบั้มเดี่ยวเปียโนมาบ้างแล้วนะ  มันก็โอเค แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมหรือไปได้สวยอะไร จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมชอบ คือการได้ทำงานกับนักร้องเก่งๆ มากกว่า ที่ผ่านมามีศิลปินหลายคนที่เพลงเจ๋ง มีชื่อเสียงโด่งดัง และผมก็ยอมรับว่าผมชอบเพลงของพวกเขานะ แต่ผมไม่ได้อยากทำงานกับพวกเขา ผมชอบนักร้องเก่งๆ ที่มีฝีมือจริงๆ

 

คุณทำเพลงฮิตมาเป็นร้อยๆ พันๆ เพลง คุณคิดว่าองค์ประกอบของเพลงดัง เพลงฮิตสักเพลง ต้องมีอะไรบ้าง?

ผมก็อยากรู้เหมือนกัน (หัวเราะ) (S! Music : แต่คุณทำเพลงฮิตมาเยอะมากนะ) ผมรู้ๆ แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เวลามีคนมาหาผมที่สตูดิโอ แต่ละคนหวังว่าจะได้เห็นความมหัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ราวกับมายากลเสกเพลงเจ๋งๆ ขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือผมนั่งก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ในนั้นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนตามรายการทีวีใหญ่ๆ เมื่อคุณดูผ่านทีวีมันดูยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่หากคุณได้ไปอยู่ในสตูดิโอถ่ายทำ คุณจะเห็นว่าจริงๆ แล้วโปรดักชั่นมันเล็กนิดเดียว

เวลาผมทำเพลงก็เหมือนกัน คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นโปรดักชั่นใหญ่ๆ อลังการงานสร้าง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่จริงๆ แล้วมีแค่ผมอยู่ในห้องแคบๆ เล็กๆ แล้วก็มีอีกคนนั่งอยู่หน้าคอม คอยโปรแกรมเสียงอยู่ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมอยากทำไปเรื่อยๆ เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้ถึง “ส่วนผสม” ของเพลงฮิตหรอก.... เออ จริงๆ ผมรู้ส่วนผสมของเพลงดังๆ อยู่นะ มีอยู่ 3 อย่าง คือ เพลง,เพลง และ เพลง เพราะหากคุณมองย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เพลงมันฮิต ก็เพราะมันเป็นเพลงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพลงของ Justin Bieber, Kendrick Lamar หรือ Frank Sinatra ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน ยุคไหน ปีไหน เพลงฮิตก็ยังคงเป็นเพลงที่ดีในสมัยนั้นๆ นั่นแหละ

คุณอาจไม่ได้ชอบเพลงแร๊พ แต่ถ้าคุณได้ฟัง Kendrick Lamar แร๊พสดๆ คุณจะรู้สึกถึงประสบการณ์ที่เลอค่ามากๆ การแสดงสดของเขาเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีที่ยอดเยี่ยมมาก ถึงเขาจะเป็นแร๊พเปอร์ แต่เขาเหมือนกับเป็นนักดนตรีแจ๊สฝีมือฉกาจคนหนึ่ง เวลาเขาแร๊พ คำร้องทำนองมันไหลลื่นนุ่มนวล และมีพลังอย่างกับเขาเล่นแซกโซโฟน ดังนั้นไม่ว่าเพลงนั้นจะเป็นเพลงฮิตในช่วงสมัยไหน เพลงฮิตมันก็ยังคงเป็นเพลงที่ดี ที่เจ๋งอยู่วันยังค่ำ

 

พูดถึง Justin Bieber เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงจากการเติบโตของ social media คุณคิดอย่างไรกับความสำเร็จที่มาในรูปแบบนี้?

ผมคิดว่าความสำเร็จแบบนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน แม้ว่าเขาจะเริ่มต้นมีชื่อเสียงจากการเป็นนักร้องสมัครเล่นใน youtube แต่หากคุณได้ฟังเพลงอัลบั้มล่าสุดของเขา อัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมมาก เขาสมควรได้รับความสำเร็จ ชื่อเสียงจากผลงานของเขาจริงๆ ผมไม่คิดว่าความสำเร็จที่เขาได้รับมาจากความบังเอิญ หรือโชคช่วยใดๆ

เดี๋ยวนี้ผู้คนคอมเมนต์แรงๆ ต่อศิลปินผ่านโลก social ค่อนแคะด่าทอต่างๆ นาๆ แต่พวกเขาไม่ได้มองลึกลงไปที่ผลงานจริงๆ ลองนึกชื่อศิลปินที่ดังมากๆ ดังระดับโลกที่มีชื่อเสียงเพราะ social media ล้วนๆ ดูสิ..... ไม่มีเลย แต่ที่ Justin Bieber มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นที่รู้จักผ่าน youtube หรือเพราะเขาหน้าตาดี แต่เขาทำงานหนัก เขาตั้งใจทำเพลงอย่างจริงจัง เขาเป็นศิลปินระดับโลกได้ในทุกวันนี้ เพราะผลงานของเขา ไม่ใช่เพราะ social media

 

งั้นคุณคิดว่าในปัจจุบัน social media เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะทำให้ศิลปินประสบความสำเร็จหรือเปล่า?

ใช่เลยครับ มันเป็นหนทางที่ช่วยให้ศิลปินแต่ละคนเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้เร็ว และมากขึ้น เหมือนพวกคุณเป็นนักเขียน นักข่าว เมื่อไรก็ตามที่คุณเขียนบทความขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง แล้วมีคนมาอ่าน มีคนชื่นชม หรือมาคุยกับคุณ คุณก็ดีใจ ดังนั้นมันเป็นช่องทางที่ดีและมีประโยชน์มากนะ คุณจะเขียนอะไรแย่ๆ ส่งๆ ไม่ได้ เพราะชื่อคุณโชว์อยู่

แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน ผมเคยพูดไปแล้ว แต่จะขอพูดอีกครั้ง รายการเรียลลิตี้โชว์ต่างๆ เช่น X Factor, ตระกูล Got Talent และโชว์อื่นๆ เด็กๆ ที่เข้ามาประกวดเขาเดินเข้ามาในรายการแล้วก็ดังเลย ไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน เช่น ศิลปินบางคนกว่าจะมีชื่อเสียงได้เขาต้องผ่านการฝึกร้องเพลงด้วยตัวเอง หัดเล่นกีต้าร์ เบส กลองเอง เดินดุ่มๆ เข้าไปขอเล่นดนตรีตามผับตามบาร์เอง อาจจะเคยโดนผู้ชมไม่ปลื้ม โห่ไล่ ด่าทอ ไม่ชอบการแสดง โยนขวดเบียร์ใส่ ไล่ลงจากเวที แต่ประสบการณ์เหล่านั้นมันจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาฝีมือของตัวเองขึ้นมา จนกลายเป็นศิลปินที่เก่ง และเพียบพร้อมไปด้วยประสบการณ์จริงๆ

ยกตัวอย่างเช่น Sting เขาก็เคยเล่นดนตรีในผับ เป็นมือเบส แล้วเขาก็ใช้เวลากับการสั่งสมประสบการณ์ และพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น social media มันก็ดีนะ แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้อย่างมีประโยชน์ด้วย (S! Music : เพราะชื่อเสียงที่ได้มาจาก social media มันอาจจะไม่ยั่งยืน) ใช่ “ยั่งยืน” คำนี้เลย (sustainable) ชื่อเสียงที่ได้มาอาจไม่ยั่งยืน เขียนไปว่าผมพูดคำนี้นะ (หัวเราะ)

 

เมื่อคุณประสบความสำเร็จมากขนาดนี้แล้ว ในอนาคตกับผลงานใหม่ๆ ในวันข้างหน้า คุณมีความกดดันไหม?

กดดันแน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ผมก็รู้ตำแหน่งของตัวเองบนโลกใบนี้ดี คนอายุอานามอย่างผม รู้ตัวดีว่าคงจะไม่ใช่แค่เพียงแต่งเพลงดังๆ ให้กับ Justin Bieber แน่นอน ถึงแม้ว่าปีนี้ผมจะได้ทำงานกับเขาก็ตาม ผมได้ทำงานกับ Ariana Grande, Fall Out Boy, Gwen Stefani ก็จริง แต่หากคุณอายุเท่าผม คุณจะมัวคิดว่าตัวเองยังอายุ 18 แล้วยังทำงานในวงการเพลงแบบเดิมๆ อยู่ไม่ได้ ผมคิดว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะผมตามกระแสทัน โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางดนตรีที่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของผม สไตล์ดนตรีของผมได้อยู่ ผมยังคงยุ่งอยู่กับการทำงาน มองหาสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะเปิดใจกับดนตรีสมัยใหม่อยู่เรื่อยๆ โดยไม่ยึดติดอยู่กับแค่แนวความคิดของตัวเองคนเดียว

บางคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เมื่อถึงเวลาที่เพลงฮิตเริ่มหมด แล้วเขาต้องแต่งเพลงให้คนอื่น พวกเขาก็เริ่มใส่ๆ และทำเพลงในแบบเดิมๆ วิธีเดิมๆ ที่เคยทำเพลงฮิตมาก่อน แต่สุดท้ายมันก็ไม่รอด แทนที่วิธีเดิมๆ จะไม่ได้ผล คุณก็ต้องลองหลายๆ ทาง ลองวิธีนู้นบ้าง วิธีนั้นบ้าง คุณจะได้ค้นพบหนทางใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จจนได้ อย่างผมกับ Andrea Bocelli มียอดขายอัลบั้มรวมกัน 16 ล้านแผ่นนะ ไม่ได้มีเพลงฮิตอยู่ในชาร์ตเพลง top 40 (ใน Billboard) ก็จริง แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอยู่ดี แล้วก็ไม่มีใครคัดค้านด้วย

 

 

คุณคิดว่าโปรดิวเซอร์ในยุค 80s’ 90s’ กับโปรดิวเซอร์เพลงในสมัยนี้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

เป็นไปได้ว่าโปรดิวเซอร์สมัยนี้มีพลังอำนาจมากกว่า ทำอะไรได้มากกว่าโปรดิวเซอร์สมัยเมื่อปี 80s’ 90s’ แต่ผมยอมรับตรงๆ นะว่าผมรู้สึกว่าผมมีอำนาจตลอดเวลาในการทำงาน ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่ได้มีอำนาจ หรือไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกนะ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าผมเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง และผมก็รู้สึกว่าผมมีความสำคัญต่อศิลปินทุกคนที่ผมทำงานด้วย แต่สำหรับสมัยนี้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่จะเห็นโปรดิวเซอร์ดังๆ อย่าง Max Martin, Dr. Luke และโปรดิวเซอร์รุ่นหลังๆ ที่จะมีส่วนอย่างมากในการทำให้ศิลปินประสบความสำเร็จ พวกเขาควบคุมศิลปินได้ วางแผนอนาคตของศิลปินได้ เอาเข้าจริงแล้วโปรดิวเซอร์ก็มีหน้าที่นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไรหรอกครับ

 

ใช้เวลาในการสัมภาษณ์ไม่นาน แต่เราได้เห็นมุมมอง และความคิดอันเฉียบขาดของผู้ชายคนนี้มากมาย นอกจากความมั่นใจในงานที่เขาทำมาตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษแล้ว ความรักในงานที่เขาทำยังสื่อออกมาตลอดการสัมภาษณ์ เขาไม่ได้เพียงสรรสร้างเพลงฮิต เพลงดังเพื่อเงินแต่เพียงอย่างเดียว แต่เขายังเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าในตัวศิลปินทุกคน ชื่นชม และพร้อมที่จะผลักดันให้ศิลปินแต่ละคนประสบความสำเร็จอีกด้วย

เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะประสบความสำเร็จมากมายถึงเพียงนี้ ด้วยวัยเกือบ 70 ปี เขายังคงทำงานกับศิลปินรุ่นคราวลูกหลานได้อย่างสบาย ผลงานที่ออกมายังคงยอดเยี่ยม และร่วมสมัยตามสไตล์ของเขาอยู่เสมอ มาทำความรู้จักกับผลงานของเขาให้มากขึ้นด้วยเพลย์ลิส Songs from David Foster กันดีกว่า คุณจะได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเขามากขึ้น เพราะกว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่แค่เพราะโชคช่วยเหมือนกับหลากหลายศิลปินในสมัยนี้แน่นอน

 

 

 

ขอบคุณ Independent Communication Network และ Universal Music Thailand

____________________

Story : Jurairat N.

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ David Foster กับสูตรสำเร็จเพลงฮิต และกระแสศิลปินยุค social media ครองเมือง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook