จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอยกว่า 15 ปี!

จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอยกว่า 15 ปี!

จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอยกว่า 15 ปี!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จอมขมังเวทย์ ภาคแรกออกฉายในปี พ.ศ. 2548 ผลงานการกำกับของปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์นำแสดงโดยฉัตรชัย เปล่งพานิชและอัครา อมาตยกุล หนังแนวแอ็คชั่น ทริลเลอร์ที่หยิบเอาความเชื่อทางไสยศาสตร์มาผนวกรวมกับหนังแนวสืบสวนสอบสวน เรียกได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังไทยจำนวนไม่น้อย

 

 

เกิดอะไรขึ้นในหนังภาคแรก

 

อิทธิ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) อดีตนายตำรวจหน่วยพิเศษเคยจับคนร้ายที่มีความสามารถแก่กล้าทางอาคม หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองกลับต้องโทษคดีวิสามัญคนร้ายจนกลายเป็นนักโทษถูกขังลืมอยู่ในคุกมืดแดนจองจำพิเศษ

 

10 ปีผ่านไปอิทธิได้หายตัวไปจากห้องขังแบบล่องหนได้ ทำให้พ.ท.ทศพล อดีตเพื่อนนายตำรวจได้ออกคำสั่งจับตายอิทธิ และมีคำสั่งมาถึงร้อยตรี สันติ (อัครา อมาตยกุล) ให้ตามทำคดีนี้ ทว่าระหว่างตามหาตัวอิทธิ สันติกลับพบแต่เหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับเรื่องของคุณไสยมนต์ดำ อาทิการเสกตะปูเข้าท้อง คนร้ายที่คงกระพันหนังเหนียว แต่ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนสันติก็ไม่หวาดกลัวและมุ่งมั่นที่จะจับตัวอิทธิมาให้ได้ เมื่อเขารู้ตัวว่าตัวเองอาจจะต้องเผชิญหน้ากับจอมขมังเวทย์ผู้ครอบครองอาคม หนทางเดียวที่จะสยบเขาให้ได้คือเป็นให้ “เหนือกว่าจอมขมังเวทย์”

 

จนผู้ชมในยุคสมัยนั้นจดจำคำคมจากตัวละครของอิทธิได้ว่า “มึงอย่าบ้าเหมือนกูก็แล้วกัน” ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

 

 

เกิดอะไรใน จอมขมังเวทย์ 2020

 

ท่ามกลางการสูญเสียครั้งใหญ่ของวิน(หมาก ปริญ) ชายหนุ่มผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆาตกรรมกลับต้องเปลี่ยนความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งเข้าสู่ศาสตร์ลึกลับและอาคมเวทต่างๆ เพื่อสืบหาและจัดการฆาตกรด้วยตนเอง ทว่ายิ่งเขาสืบหาตัวฆาตกรมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกที จนทำให้ต้องเข้าไปพัวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้คลั่งพลังทำลายล้าง” (ก๊อต จิรายุ) และ “เจ้าลัทธิใหม่แห่งยุค” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยกันทั้งสิ้น นี่คือการปะทะกันครั้งสำคัญ ที่มีศรัทธาแห่งตัวตนเป็นเดิมพันและอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงขีดสุด

 

 

นี่คือหนังภาคต่อ! ไม่ใช่รีเมค หรือรีบูต

 

สำหรับตัวผู้กำกับต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ ที่กำกับหนังภาคแรก ได้กล่าวว่าจอมขมังเวทย์ 2020 ไม่ใช่หนังรีเมค ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังต่อภาคอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้รับโอกาสในการกลับมาสร้างเรื่องราวในโลกอาคมอีกครั้งโดยตกผลึกเรื่องราวความเชื่อ ความศรัทธา และมุมมองทางสังคมในแต่ละยุคที่ส่งต่อและเชื่อมโยงถึงกันมาใส่ไว้ในบทภาพยนตร์

 

ในมุมมองที่น่าสนใจของตัวผู้กำกับที่สะท้อนออกมาว่า “ภาคต่อกับช่วงเวลา” ถือเป็นแนวคิดที่สำคัญไม่น้อย เนื่องจากปัจจุบันนี้แนวคิดเรื่องการต่อสู้ระหว่างความดีกับความเลวนั้น มุมมองของผู้คนก็เริ่มมีความแตกต่างมากยิ่งขึ้น ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทกับความคิด ความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนจึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ผู้กำกับจึงเริ่มตั้งคำถามที่ว่า “ยุคนี้เขาศรัทธาอะไรและยุคก่อนศรัทธาอะไร” จนเขาได้ไอเดียที่ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างความเชื่อของคนต่างยุคสมัยนำมาสู่ประเด็นอะไรได้บ้าง

 

 

“ความคิดของการปะทะกันเรื่องความเชื่อของตัวเอง บางอย่างเราคิดว่ามันงมงาย แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ใกล้ๆ รอบตัวเราหมดเลย เราแขวนพระ เราไปไหว้พระ เพื่อให้เรารู้สึกว่าเรามีกำลัง เรามีศรัทธาในตัวเองขึ้น สมัยก่อนเราไปกราบไหว้ แต่ในปัจจุบันมันหมายถึงเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องพลังจิต เรื่องพลังจักรวาลอะไรอย่างนี้ อันนี้คือคอนเซปต์ที่เราพูดถึงความเชื่อของคนสองยุคมาเจอกัน เราจะเชื่ออะไรมากกว่ากัน ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องราวและวิธีการของจอมขมังเวทแต่ละคนที่จะใช้ศาสตร์อาคม เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ต่างๆ มาต่อสู้กันตามความเชื่อและศรัทธาของแต่ละคนเองต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ กล่าว

 

 

ทำไมต้องใช้นักแสดงเบอร์ใหญ่ขนาดนี้

 

“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นการก้าวเข้าสู่โลกอาคมครั้งใหม่และเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของ “เหล่าจอมขมังเวท” หลากหลายคาแร็กเตอร์เช่นนี้ “ความขลังทางการแสดง” จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ผู้กำกับต้องโฟกัสเป็นพิเศษไม่แพ้ด้านอื่นๆ และได้เลือกเฟ้น “ทีมนักแสดงขมังเวท” ซึ่งทีมงานตัดสินใจใช้นักแสดงระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นจอหนังใหญ่ครั้งแรกของ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ การกลับมารับบทบาทเดิมจากภาคที่แล้วของนก-ฉัตรชัย เปล่งพานิช ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล กับบทคนหนุ่มที่หลงใหลในศาสตร์มืด นก-สินจัย เปล่งพานิช กับการคืนจอใหญ่ในบทเจ้าแม่ลัทธิ! รวมไปถึงนักแสดงเลือดใหม่อาทิ คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล และ แพร์-พิชชาภา พันธุมจินดา โดยเหตุผลสำคัญที่สุดในการใช้ดาราเบอร์เต็งขนาดนี้ก็เพราะ หนังต้องการฝีมือทางด้านการแสดงที่จะต้องเชือดเฉือนอารมณ์กัน เนื่องจากทุกตัวละครมีความซับซ้อน น่าหลงใหลและเป็นตัวละครที่มีความทะเยอทะยานทุกตัว

 

นอกเหนือจากนักแสดงเบอร์ใหญ่แล้ว งานเทคนิคพิเศษและฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้จัดเต็มและอัดแน่นไม่แพ้กัน ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ปล่อยพลังทางไสยเวทย์นั้น เรียกได้ว่าเป็นฉากที่คนดูหนังไทยในปี 2019 จะต้องจดจำอย่างแน่นอน!

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook