Scary Stories to Tell in the Dark จากหนังสือดังที่ผู้ปกครองเกลียด สู่หนังสยองขวัญที่ต้องดู!

Scary Stories to Tell in the Dark จากหนังสือดังที่ผู้ปกครองเกลียด สู่หนังสยองขวัญที่ต้องดู!

Scary Stories to Tell in the Dark จากหนังสือดังที่ผู้ปกครองเกลียด สู่หนังสยองขวัญที่ต้องดู!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Scary Stories to Tell in the Dark เป็นผลงานการกำกับของอังเดร โอเวรดัล ซึ่งเขามีผลงานกำกับภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องดังอย่าง Trollhunter ซึ่งหนังเรื่องนี้ยังเป็นการปลุกปั้นโปรเจ็คของกีเยร์โม เดล โตโร อีกด้วย

 

หนังสือแห่งความสยองในยุค 80

 

กีเยร์โม เดล โตโร ยังคงจดจำช่วงเวลาที่เขาได้พบกับหนังสือที่ชื่อ Scary Stories to Tell in the Dark ได้เป็นอย่างดี “มันเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่ทำให้คนกลัวได้ง่ายเหมือนกับการเล่าเรื่องสยองรอบกองไฟครับ” เขากล่าว “มันมีทั้งกลิ่นอายของตำนานพื้นบ้านและเรื่องสยองที่เล่ากันมาปากต่อปาก ประกอบขึ้นมาด้วยโครงสร้างและการวางประโยคอันเยี่ยมยอด”

 

 

เวลาผันผ่านไปกว่าหลายสิบปีกว่าที่กีเยร์โม เดล โตโรจะมีโอกาสพัฒนาเรื่องราวในหนังสือให้มีชีวิตขึ้นมาในรูปแบบของภาพยนตร์ เขาได้ตัดสินใจรวมเอาเรื่องราวสยองขวัญจากหนังสือทั้ง 3 เล่มมาไว้ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งกำหนดกรอบการดำเนินเรื่องราวให้อยู่ภายในปี 1968 โดยเล่าผ่านวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายที่หลุดออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจตัวเอง โดยในบรรดาอสูรกายเหล่านี้ มีตัวโปรดของเดล โตโรอยู่ 1 ตัวนั่นก็คือ The Pale Lady จากตอนที่ชื่อ “The Dream” นั่นเอง

 

 

จากตำนานพื้นบ้านสู่วรรณกรรมสยองขวัญ

 

อัลวิน ชวาร์ส ผู้อยู่เบื้องหลังนิยายสยองขวัญ Scary Stories ทั้ง 3 เล่ม เริ่มต้นเสนทางนักเขียนจากการทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ The Binghamton Press ตั้งแต่ปี 1951 ถึง 1955 จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็จับปากกาขึ้นมาเขียนหนังสือเป็นของตัวเอง ซึ่งหนังสือเล่มแรกของเขาในชีวิตคือ “คู่มือในการเล่นกับเด็ก สำหรับผู้ปกครอง”

 

กระทั่งวันหนึ่งเขาก็นึกสนุกอยากจะแต่งวรรณกรรมสยองขวัญสำหรับเยาวชนขึ้นมา อัลวิน ชวาร์ส จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าตำนานพื้นบ้านเก่าแก่ ที่ว่าด้วยเรื่องราวประหลาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตำนานที่มาจากแหล่งต้นกำเนิดเดียวกัน มีคนเคยพบเห็น หรือเคยมีประสบการณ์พบเจอกับตัว เมื่อเขารวบรวมข้อมูลจนเต็มที่และพอจะทำให้เขาเริ่มมองเห็นภาพในการเล่าเรื่องราวออกมา ในที่สุดหนังสือ Scary Stories เล่มแรกจึงถูกตีพิมพ์ในปี 1981 หลังจากนั้นเขาก็ได้ตีพิมพ์หนังสือต่ออีก 2 เล่ม “More Scary Stories to Tell in the Dark” และ “Scary Stories 3: More Tales to Chill Your Bones” ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในปี 1992

 

 

หนังสือดังที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเกลียด!

 

ถึงแม้ว่าหนังสือจะออกมาในยุค 80 แต่Scary Stories โด่งดังที่สุดในยุค 90 สอดรับกับบรรดาผู้ปกครองทั่วอเมริกาพร้อมใจกันด่าหนังสือเล่มนี้ว่ามันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่มีศีลธรรมเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นบทสรุปในเรื่องบางเรื่องที่ตัวร้ายหรืออสูรกายนั้นสามารถเอาชนะฝ่ายดี หรือกระทั่งเนื้อหาบางเรื่องบางตอนที่ว่าด้วยการที่มีคนบุกเข้าไปในสุสานเพื่อขโมยตับของศพผู้หญิงเอามาทำเป็นอาหารให้สามีเธอกิน! หรือบางตอนก็พูดถึงไส้กรอกเนื้อคน! เรื่องราวเหล่านี้จึงโดนผู้ปกครองพากันยี้ ให้โรงเรียนทั่วประเทศเอาหนังสือเล่มนี้ออกจากห้องสมุด แต่เหล่าคณะกรรมการด้านการศึกษาต่างมองว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

 

ก่อนเสียชีวิตอัลวิน ชวาร์ส ยังเคยได้ให้สัมภาษณ์กับทางนิตยสาร The Lion and the Unicorn เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของผู้ปกครอง เขาและบรรณาธิการได้ตอบจดหมายเหล่านั้นอย่างชัดเจนและชี้แจงว่า เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือของเขานั้นมีที่มาที่ไปจากความเชื่อพื้นบ้านทั้งนั้น อย่างไรก็ตามใช่ว่าข้อโต้แย้งของเขาจะใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม เมื่อชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่งได้ประกาศแบนหนังสือของเขาจากห้องสมุดเดนเวอร์ได้สำเร็จ

 

 

เนื้อหาในหนังสือที่ว่าน่าขนลุกสำหรับเยาวชนแล้ว แต่สิ่งที่พ่อแม่บางคนเป็นกังวลมากกว่า เพราะรูปภาพประกอบใน Scary Stories นั้น เป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากผู้ปกครองบางคนมองว่าภาพมันดูสมจริงเกินไป อาทิ ภาพของคนที่ถูกปาดคอ ภาพของคนที่กำลังกินตับสด เป็นต้น ซึ่งพ่อแม่บางคนก็ร้องเรียนไปยังโรงเรียนว่า ลูกสาววัย 7 ขวบของตัวเองต้องฝันร้ายนับเดือนหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เขาจึงยื่นเรื่องในการให้โรงเรียนเอาหนังสือเล่มนี้ออกจากห้องสมุดด้วยเหตุผลที่ว่า พวกเขาส่งลูกไปโรงเรียน ภายใต้การดูแลของโรงเรียนและปกป้องลูกๆจากสิ่งที่ไม่ควรรับรู้ก่อนวัยอันควร พวกเขาไม่ต้องการให้ลูกๆของตัวเองถูกทำร้ายทางความคิดหรือได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ

 

ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่พ่อแม่แอนตี้ แต่หนังสือ Scary Stories เป็นหนังสือที่ทางสมาคม American Library Association จัดให้เป็นหนังสืออันดับที่ 1 จาก 100 หนังสือที่มีคนท้าให้อ่านมากที่สุดในช่วงปี 1990-1999 แม้กระทั่ง 10 ปีต่อมา Scary Stories ก็ยังคงเกาะอยู่ในอันดับที่ 7 ของการจัดอันดับในช่วงปี 2000-2009 แม้ว่าทางสมาคมให้เหตุผลว่ามันเป็นหนังสือที่ “ไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้อ่าน, บูชาสิ่งลึกลับและซาตาน, มีการใช้ความรุนแรง และไม่เหมาะสมกับช่วงอายุที่หนังสือกำหนด” ก็ตามที

 

 

 

พบกับเรื่องสยองขวัญ ทั้ง 5

 

สำหรับเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้น Scary Stories to Tell in the Dark ได้ดัดแปลงนิยายจำนวน 3 เล่มให้กลายเป็นหนังเรื่องเดียว ที่ว่าด้วยเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญไปพบกับหนังสือที่สามารถเขียนเรื่องสยองได้ด้วยตัวของมันเอง ในภาพยนตร์คุณจะได้พบกับความสยองเรื่องเด่นที่มาจากหนังสือ อย่างเช่น “นิ้วโป้งเท้า The Big Toe”, “หุ่นไล่กา Harold”, “จุดสีแดง The Red Spot”, “ความฝัน The Dream” และ “ผีหัวขาด Me Tie Dough-ty Walker” เป็นต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook