ดูแล้วบอกต่อ วิจารณ์หนัง The Legend of Tarzan การรุกรานของคนต่างถิ่น

เรื่องราวของ TARZAN ในฉบับนี้ อาจจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นที่หลายต่อหลายคนได้ชมมากที่สุด(และเป็นที่รู้จักกันมาที่สุดก็คือ TARZAN ในเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นของวอลต์ดิสนีย์) เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ เรื่องราวของ TARZAN นั้นมีมากมายหลายเวอร์ชั่นด้วยกันเพราะในทุกๆเวอร์ชั่นดัดแปลงมาจากโดยอ้างอิงจากนิยายของทาร์ซานโดยเอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังบอกเล่าเวลาหลายปีหลังจากที่ทาร์ซาน (สการ์สการ์ด) ออกจากป่าดงดิบในแอฟริกามาใช้ชีวิตคนเมืองในฐานะจอห์น เคลย์ตัน หรือลอร์ดเกรย์สโตค พร้อมกับมี เจน (ร็อบบี้) ภรรยาผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง มาตอนนี้เขาได้รับเชิญให้กลับไปยังคองโกเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าให้รัฐบาล โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังเป็นหมากในแผนการอันตรายที่เกิดจากความโลภและความแค้น แผนการครั้งนี้มีทูตของกษัตริย์เบลเยียม ลีออน รอม (วอลซ์) เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่เหล่าผู้คิดแผนการสังหารยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะปลดปล่อยสิ่งใดออกมา

แม้ว่าหนังในเวอร์ชั่นนี้จะเล่าเรื่องราวของทาร์ซานในวัยเด็กแบบพอสังเขปว่าเขาเติบโตมาอย่างไร ถูกเลี้ยงโดยใคร และมีความผูกพันกับบรรดากลอริล่าอย่างไร แต่เอาเข้าจริงแล้ว “ชายหนุ่มผู้ที่ถูกฟูมฟักมาด้วยวิถีแบบสัตว์ป่า” กลับถูกสังคมมนุษย์หล่อหลอมให้เขากลับกลายเป็นมนุษย์เมือง ที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมและถูกกรอบรัดด้วยค่านิยมทางสังคมและสิ่งที่สังคมเรียกร้องจากพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางไปทำงานในฐานะผู้แทนการค้า เดิมพันยิ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อภรรยาผู้เป็นที่รัก เจน ยืนยันว่าจะติดตามสามีกลับไปยังแอฟริกาซึ่งเธอมองว่าเป็นเหมือนบ้าน จอห์นยอมตามใจแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม The Legend of Tarzan คนที่คาดหวังให้มันเป็นหนังผจญภัย แอ็คชั่น อาจจะเกิดอาการผิดหวัง เนื่องจากหนังค่อนข้างเน้นความดราม่า และกว่าฉากเร้าใจเร้าอารมณ์มาถึง หนังก็ใช้เวลาเกือบค่อนเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาฉากดราม่าเหล่านี้ก็ไม่ได้สนุกหรือชวนขบคิดสักไหร่นัก (หรือพูดง่ายๆว่าน่าเบื่อ) 

ข้อดีประการเดียวระหว่างที่ผู้ชมรอความสนุกที่กำลังจะมาถึงนั้น ก็คือฉากวิวทิวทัศน์ และเหล่าสรรพสัตว์ซีจีก็ออกแบบและถ่ายทำอย่างงดงาม สมจริงสมจัง นอกเหนือจากนั้นบรรดาผู้คนที่โหยหาซิกส์แพคและกล้ามเนื้อล่ำๆของทาร์ซานก็คงน้ำลายหกคาจอหนัง เพราะมีฉากถอดเสื้อกว่าครึ่งค่อนเรื่อง!! 

ท้ายที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้จะยังคงวนเวียนพูดถึงการรุกรานของมนุษย์ชาวเมืองที่ก้าวล้ำเข้ามา “ปล้น” สรรพสิ่งไปจากธรรมชาติ โดยที่พวกเขามองว่าธรรมชาติเป็นของฟรีที่ใครๆก็สามารถหยิบจ้วงเอาไปแสวงหาความร่ำรวยให้กับตนเองได้ แต่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างก็มีราคาทั้งสิ้น และท้ายที่สุดเมื่อธรรมชาติ “ทวงคืน” จากมนุษย์ มนุษย์ก็ได้แค่ทำตาปริบๆแล้วต้องศิโรราบแบบช่วงไคลแมกซ์ของหนังนั่นเอง 

@พริตตี้ปลาสลิด

3 คะแนนจาก 5 คะแนน