ชีวิตไม่เคยหยุดฝัน “หมอโมฮัล” ทันตแพทย์สายเลือดหมอลำ

ชีวิตไม่เคยหยุดฝัน “หมอโมฮัล” ทันตแพทย์สายเลือดหมอลำ

ชีวิตไม่เคยหยุดฝัน “หมอโมฮัล” ทันตแพทย์สายเลือดหมอลำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความฝันที่เราอยากเป็นมักเกิดมาคู่กับเราในวัยเด็ก แต่เมื่อเราเติบใหญ่ความฝันอาจหล่นหายไปในระหว่างทาง ถึงแม้วันนี้เราจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่เราอาจไม่ได้วาดฝันไว้ตั้งแต่ต้น แต่ความฝันนั้นก็ยังอยู่กับเราทุกลมหายใจ ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกเดินตามความฝันนั้นต่อไป หรือจะปล่อยให้ความฝันนั้นเป็นฝ่ายจากเราไปเอง แต่ผู้ชายคนนี้เลือกที่จะเดินตามฝัน ถึงแม้ว่าเขาจะมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งเงินทองและการงานที่มั่นคง แต่ชีวิตนี้ไม่เคยหยุดฝัน ไปทำความรู้จัก “คุณหมอโมฮัล ศกภูเขียว” หมอฟันเลือดหมอลำ ที่จะมาถ่ายถอดแง่คิดและประสบการณ์ดีๆ ผ่านการสัมภาษณ์พิเศษกับ Sanook! Men

ชื่อแปลกดี โมฮัล ได้มาจากไหน แปลว่าอะไรครับ
โมฮัล เป็นชื่อเล่น เป็นชื่อของพระเอกหนังอินเดีย สมัยก่อนแม่ชอบดูหนังอินเดีย แม่เลยใช้ชื่อนี้มาเป็นชื่อลูก เวลาไปเรียนหนังสือครูและเพื่อนๆ ชอบเรียกว่าโมฮัล พอเรียกชื่อจริงก็สับสนและไม่รู้ว่าใคร ก็เลยตัดสินใจเอาชื่อเล่นมาเป็นชื่อจริงเพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ

หลายคนอาจยังไม่รู้จักชีวิตคุณหมอโมฮัล ช่วยเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กให้เราฟังหน่อย
ผมเป็นคนชัยภูมิ ครอบครัวค่อนข้างยากจนพ่อแม่มีลูก 5 คน ผมเป็นคนที่ 2 พ่อแม่จบ ป.4 เป็นชาวไร่ชาวนา บ้านอยู่ใกล้ภูเขา สมัยเด็กมัธยมต้นต้องปั่นจักรยานไปเรียน ระยะทางหลายกิโลเมตร และสมัยไปเรียนในตัวจังหวัด ก็เอาเบ็ด แหไปหาปลามาทำอาหาร ช่วยพ่อแม่ประหยัดอีกทาง ถามว่าลำบากไหม หลายคนก็อาจจะดูว่าลำบากนะ แต่สำหรับผมแล้ว ผมกลับคิดว่ามันไม่ลำบากเลยมันดูท้าทายมากกว่า

จากเด็กบ้านนอก คุณหมอโมฮัล เข้ามาเรียนทันตแพทย์และได้เป็นหมอฟันได้อย่างไรครับ
ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งมาก แต่ก็มีความฝันคืออยากเป็นครู อยากเป็นหมอเหมือนกับชาวบ้านเขา ผมเรียนจบ ม.ต้นในระดับตำบลได้ที่หนึ่งของรุ่น ไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดชัยภูมิและได้เรียนที่นั่น จากนั้นก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบติดคณะสาธารณสุขศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะว่าพ่อแม่ไม่มีเงิน พ่อแม่อยากให้สอบเรียนอะไรที่ไม่ต้องใช้เงินมาก และเรียนจบมาแล้วรับราชการด้วย ผมก็เลยไปสอบเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาล ซึ่งเป็นทุนของจังหวัดชัยภูมิ หลักสูตรเรียน 2 ปี ระหว่างเรียนมีเงินเดือนๆ ละ 600 บาท พอเรียนจบก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลชุมชน จ.ชัยภูมิ และทำงานจนถึง 6 ปี และก็ได้มีโอกาสสอบเข้าเรียนทันตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

แล้วความฝันที่ว่าอยากเป็นนักร้องมีที่มาอย่างไรครับ
สมัยเรียนที่วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น ผมชอบอาบน้ำไปร้องเพลงไป ร้องเพลงตะโกนโหวกเหวกในห้องน้ำ เพื่อนที่เล่นดนตรีของวิทยาลัยฯ เห็นว่าเราชอบร้องเพลง เลยชวนไปร้องในวง วันแรกที่ผมไปร้อง เพื่อนก็เล่นดนตรีสด จำได้ว่า เพลงสัญญาเมื่อสายัณห์ หมอก็ไม่รู้เรื่อง แบบว่า หอนมาเลย เพื่อนเค้าหันมาแล้วพูดว่า "โม..!!! มึงร้องแบบนี้ แล้วพวกกูจะเล่นยังไงวะ" ทำให้รู้สึก "ฮึด" ขึ้นมาในใจและตั้งปณิธานว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นนักร้องที่ดังและมีชื่อเสียงให้ได้

นอกจากแรงฮึดจากเพื่อนพูดวันนั้นแล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหมที่ทำให้อยากเป็นนักร้อง
เพราะว่าครอบครัวฐานะไม่ค่อยดี พ่อแม่เป็นหนี้ ธกส.เยอะแยะ ก็เลยอยากจะเป็นนักร้อง ถ้าดังขึ้นมา คงจะพอมีเงินช่วยพ่อแม่ใช้หนี้ได้บ้าง ซึ่งช่วงนั้น คุณยิ่งยง ยอดบัวงาม กำลังโด่งดังด้วยเพลงสมศรี 1992 ทำให้มีความรู้สึกว่าการเป็นนักร้องน่าจะหารายได้ได้อีกทางหนึ่ง ผมก็เลยฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างหนัก โดยไม่มีครูคอยสอน ใช้วิธีการซ้อมจากการใช้ต้นแบบของนักร้องมาผนวกกับเทคนิคของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าอยากมีเงินและตัวเองก็ชอบด้วย

นอกจากซ้อมร้องเพลงด้วยตัวเองแล้ว มีวิธีซ้อมร้องเพลงแบบอื่นอีกไหมครับ
สมัยก่อนผมไปซ้อมร้องคาราโอเกะในอำเภอที่ทำงาน มีครั้งหนึ่งโดนตีหัวแตก (หัวเราะ) เหตุการณ์วันนั้นยังจำได้ดี ตอนนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่มหมอไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน 2 คน ซึ่งมันเป็นห้องคาราโอเกะแบบห้องรวม มีโต๊ะหนึ่งอยู่ข้างหน้ามีวัยรุ่นประมาณ 5-6 คน สักพักหนึ่งพอถึงคิวเราร้อง ก็มีคนเมาเดินมาแย่งไมโครโฟนผมไป เราก็ไม่ถือสา คิดว่าคนเมา พอถึงเวลาหมอร้อง สักพักก็ดึงไมโครโฟนไปอีกหลายครั้ง เพื่อนที่ไปด้วยเขาดูสถานการณ์ไม่ดีเลยรีบออกไปตามเพื่อน ระหว่างที่เพื่อนเราไม่อยู่ เราอยู่คนเดียวเราก็นั่งฟังเขาร้องเพลงไปสักพักเขาก็เดินเข้ามาเบียดโต๊ะเรา จนโต๊ะเราจะล้ม เราก็ยิ้มให้เขา มันพูดอะไรสักอย่างแต่เราไม่รู้ เพราะเสียงเพลงดัง จู่ๆ ก็มึนหัวไปหมดเลย มีอะไรเค็มๆ เต็มหน้า (เลือด) คือโดนขวดเบียร์ฟาดหัวเต็มๆ เย็บไป 42 เข็ม เช้ามาก็ยังยิ้มขำ ขำ ว่ามาตีเราทำไม งง อะไรประมาณนี้ ถ้าภาษาบ้านเรา เขาก็คงว่าเราไปเห่าหอนให้พวกวัยรุ่นรำคาญมั้ง (หัวเราะ) แต่สรุปความได้ว่า วัยรุ่นแถวนั้นมันเป็นอันธพาลมันตีโชว์เพื่อน นึกๆ ยังขำอยู่เลย หลังจากเหตุการณ์นั้นหมอก็ไม่ท้อถอยยังคงฝึกซ้อมต่อไปและบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมหัวแตกฟรีๆ แน่นอน หมายถึง เราต้องเป็นนักร้องให้ได้

หลังจากโดนตีหัวแตก แล้วเลิกร้องเพลงหรือไปทำอะไรต่อครับ
ช่วงที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลชุมชน ผมก็ฝึกฝนร้องเพลงอย่างต่อเนื่อง และไปสมัครร้องรับจ้างตามร้านอาหารบ้างได้คืนละ 70 บาท และในที่สุดก็เข้าไปสมัครเป็นนักร้องคณะหมอลำ ซึ่งขณะนั้นยอมรับว่าร้องไม่เก่งมากแต่ด้วยความพยายาม ทางหัวหน้าวงก็คัดเลือกให้เราเป็นนักร้องนำวง ซึ่งคณะหมอลำวงนี้ค่อนข้างจะมีชื่อในสมัยก่อน โดยอาศัยเวลาหลังเลิกงานเดินสายทัวร์ร้องเพลงกับคณะฯ ไปทั่วประเทศ

ดูท่าทางอาชีพนักร้องกำลังจะไปได้สวย แต่ทำไมกลับมาเป็นหมอฟันได้ล่ะครับ
ตอนที่เป็นนักร้องมันมีปัญหาเรื่องเสียงเพราะผมไม่ค่อยได้พักผ่อน ทั้งทำงานตอนกลางวันและออกร้องเพลงตอนกลางคืน ทำให้มีปัญหาเรื่องเสียง ร้องเพลงไม่ได้ก็เลยออกจากวง ยอมรับว่าเสียใจมาก ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเขารับสมัครเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลทั่วประเทศเพื่อสอบคัดเลือกคนเข้าเรียนทันตแพทย์ ซึ่งผมได้บอกกับตัวเองว่าหากเราเป็นนักร้องไม่ได้ก็คงเดินเส้นทางอื่น ก็เลยตัดสินใจสอบทันตแพทย์ โดยมีเวลาอ่านหนังสือแค่ประมาณ 4 เดือน และผมตั้งใจบอกกับตัวเองว่าจะสอบให้ได้ ผลปรากฏว่าหมอสอบได้คนเดียวและได้ที่ 1 ในรอบปีนั้น ก็เลยได้มาเรียนทันตแพทย์ ช่วงระหว่างนั้นก็พักฟื้นเสียง ดูแลเสียงด้วย

เห็นว่าขณะทำฟันก็ยังร้องเพลงให้คนไข้ฟังด้วย
บางงานในการทำฟันจะมีช่วงเวลาที่ต้องรอขั้นตอนต่อไป เช่นช่วงระหว่างหลังฉีดยาชาต้องรอเวลาประมาณ 4-5 นาที เราก็สามารถร้องเพลงให้คนไข้ฟังได้ 1 เพลงเป็นการลดภาวะความเครียดของคนไข้ ด้วย และเพื่อสร้างสีสันให้กับงาน เราควรใช้เวลาตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อฝึกฝนตัวเอง และสร้างสีสันในงานของเราไปในตัวด้วย

ที่เพื่อนเคยต่อว่าเรื่องร้องเพลง คุณหมอมีวิธีสร้างแรงบันดาลใจอย่างไรให้ตัวเองเป็นนักร้องให้ได้ ผมเป็นคนชอบเอาชนะตัวเอง และไม่อยากให้คนอื่นดูถูก สักวันหนึ่งจะทำให้เพื่อนเห็นว่าคนอย่างเราก็ทำได้นะ

ในวันที่คุณหมอท้อแท้หรือสิ้นหวังคุณหมอมีวิธีคิดอย่างไรให้คุณหมอสู้ต่อไป
เราจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า อย่างเช่นเวลาหมอทำงานก็เหนื่อยมากนะ แต่ผมก็บอกตัวเองว่าคนที่แย่กว่าเราก็มี คนที่อยากมายืน ณ จุดนี้ก็มาก และที่สำคัญผมมาจากลูกชาวนา เงินที่จะไปโรงเรียนแต่ละวันสลึงนึง บาทนึงแทบจะไม่มีเลย พอเรามาถึงในจุดนี้เราก็เลยบอกตัวเองว่า คนที่ลำบาก กว่าเราก็เยอะ ให้นึกถึงคนที่ต่ำกว่า ไม่เปรียบเทียบกับคนที่สูงกว่า หรือถ้าเป็นเรื่องของชีวิต ผมว่าผมเข้าใจชีวิตพอสมควรว่าชีวิตคนเรามีขึ้น มีลง เป็นเรื่องธรรมดา

และอีกอย่างหนึ่งที่ผมท้อไม่ได้คือผมต้องดูแลพ่อแม่ แม่ผมไม่สบายเป็นโรคไต แม่ต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ค่าใช้จ่ายในครอบครอบครัวค่อนข้างมาก และอีกอย่างน้องสาวผม 2 คน เขามีจิตใจดี เขายอมเสียสละ ลาออกจากงาน เพื่อมาดูแลพ่อแม่ ผมเองในฐานะพี่ก็ไม่คิดที่จะให้เขารับผิดชอบแบบนั้นเพียงลำพัง เลยชดเชยรายได้ให้น้องตามสมควร ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่มีสิทธิ์ถอย อาจจะท้อแท้ เหนื่อยบ้าง เป็นธรรมดา เล่าให้แม่ฟัง แม่ผมก็จะให้กำลังใจและทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแม่ คำอวยพรจากแม่ เราก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที

คุณหมอคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง? ทั้งในเรื่องงานและในเรื่องความฝัน
ถ้าเรื่องความฝันการเป็นนักร้องของผมยังไม่สิ้นสุด ไม่ใช่ว่าอยากเด่นอยากดัง ผมเคยเป็นนักร้อง บันทึกเสียง นักร้องนำวงขึ้นเวทีคนดูเป็นพันๆ ก็เคยมาแล้ว ออกงานแสดงคนดูเยอะแยะ แดนเซอร์ล้อมรอบ 50 -60 คนก็เป็นเรื่องปกติที่เคยทำ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เคยประกาศออกไป บอกตัวเองว่าเราจะต้องทำตรงนี้ให้ได้ หมายความว่าเป็นนักร้องที่มีคนรู้จักทั่วประเทศ อันนี้พูดแบบไม่อายเลย และที่สำคัญแม่จะคอยลุ้นตลอดเลยนะ เวลาเห็นคนอื่นร้องเพลงออกทีวี แม่ก็จะพูดว่าคิดถึงลูก พูดเสมอเมื่อไหร่จะได้เห็นลูกตัวเองแบบนี้นะ ยิ่งได้ยินแม่พูดแบบนี้ ความฝันในใจยิ่งร้อนแรงขึ้นว่าสักวันหนึ่งเราก็จะไปยืนในจุดนั้นให้แม่สมหวัง ให้แม่ภูมิใจ

ความสมบูรณ์ในเรื่องอื่นๆ ชื่อเสียงในแวดวงทันตแพทย์และสาธารณสุขก็ถือว่าโอเค ถือว่าประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง คนไข้ก็มีมาไม่ขาดสาย และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทุกเพศทุกวัย รายได้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวได้ ใช้หนี้ให้พ่อแม่ได้หมด ทุกอย่างก็แฮปปี้ดี

ตอนนี้คุณหมอมีทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงยังต้องเดินตามความฝัน
คือผมอยากเป็นนักร้องมีชื่อเสียง อยากให้แม่ได้ดูทีวีแล้วบอกว่านี่คือลูกเรานะ อยากให้พ่อแม่มีความสุข ตรงนี้ด้วย การเป็นนักร้อง ถ้าเป็นไปได้ตามฝัน ผมถือว่าเป็นความสำเร็จอีกอย่างในชีวิต แต่ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สำเร็จดังที่ฝัน ก็ยังดีกว่าที่เรายอมแพ้ หรือไม่ได้ทำอะไรเลย หรือทำเพียงครึ่งๆ กลางๆ ตราบใดที่เรายังมีสิทธิ์ที่จะก้าวต่อไป เราก็จะก้าวต่อไปจนถึงที่สุด

ชีวิตอย่าหยุดฝัน ถึงแม้เราจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีพร้อมทุกอย่าง แต่ถ้าเราไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเลยเพื่อความฝันที่ยังคั่งค้าง อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราจะยอมละทิ้งความฝันนั้น จงสร้างแรงบันดาลใจด้วยความพยายาม แล้ววันหนึ่งคุณจะได้พบกับความฝันซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริงในชีวิต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook