อำนาจ(ไม่)นิยม ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์

อำนาจ(ไม่)นิยม ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์

อำนาจ(ไม่)นิยม ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่อง ใบพัด นบน้อม
ภาพ กฤตธี อ้วนอร่ามวิไล

หล่อ ดูดี มีสกุล นั่นก็แค่ส่วนหนึ่งที่อยู่ภายนอก
แต่เสน่ห์ของเขานั้นอยู่ที่ความยืนหยัด ขบถ และตั้งคำถามกับสังคม
‘เล็ก’ หรือ ‘ฮิวโก้’ จุลจักร จักรพงษ์ ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาตั้งใจและจริงจังกับทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องดนตรี สังคม สิ่งแวดล้อม และล่าสุดก็คือเรื่องความรักและครอบครัว

ที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องการเมืองที่จะต้องร้อนแรงเสมอ เมื่อมีชื่อของเขาปรากฏในบทสัมภาษณ์ที่ไหน
ลองมาฟังทัศนะการเมือง ดนตรี ชีวิต ความรัก จากหนุ่มคนนี้ สำหรับเราแล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นคนน่าสนใจยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นคนที่น่าสนใจอยู่อย่างนั้น

GM : การนำเสนอผลงานเพลงออกไปสู่ระดับโลก การเอาตัวเองไปอยู่ในหลายๆ วัฒนธรรม คุณเห็นความคล้ายหรือความต่างของวงการดนตรีอย่างไร

ฮิวโก้ : มันก็คือเรื่องปลากับบ่อ ปลาตัวใหญ่ในบ่อเล็ก ปลาตัวเล็กในบ่อใหญ่ พูดแบบกว้างๆ เจตนาที่มาทำดนตรี นักดนตรีทั้งโลกไม่ได้แตกต่างกัน แต่เราแตกต่างกันแค่ภาษาและขนาดของตลาด ตลาดคนฟังเพลงภาษาไทยเล็กกว่าภาษาอังกฤษ แค่นั้นมันก็เป็นความแตกต่างที่มากเพียงพอแล้ว

อย่าว่าแต่ความละเอียดอ่อนที่แตกต่างกันด้านวัฒนธรรม บางทีคนไทยชอบมองว่าโลกนี้ถูกแบ่งเป็นสองอย่าง คือเมืองไทยกับเมืองนอก ซึ่งมันเป็นการแบ่งที่ไม่แฟร์เท่าไหร่ เพราะว่าจะเอาประเทศเล็กๆ ใหม่ๆ หนึ่งประเทศ มาเปรียบเทียบกับทั้งโลก มันก็ไม่ใช่

GM : หน้าตาดี นามสกุลโอเค ถือเป็นแต้มต่อสำหรับคุณได้อีกไหม ในตลาดต่างประเทศ

ฮิวโก้ : นามสกุลไม่ได้มีผลอะไรอย่างที่มันมีผลในเมืองไทยแน่ (หัวเราะ) แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ ที่ผมเข้ามาในวงการบันเทิง พูดได้ว่างานละครได้มา ก็เพราะว่าหน้าตาเป็นลูกครึ่ง และนามสกุลเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับนักข่าวบันเทิง ปฏิเสธไม่ได้ แต่เมืองนอก เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยว เขาได้ยินเพลงเรา เขาก็เรียกเราไปทำงาน แล้วเราก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้จักหรอกว่าตระกูลจักรพงษ์คือใคร

ฮิวโก้ : มันก็คือเรื่องปลากับบ่อ ปลาตัวใหญ่ในบ่อเล็ก ปลาตัวเล็กในบ่อใหญ่ พูดแบบกว้างๆ เจตนาที่มาทำดนตรี นักดนตรีทั้งโลกไม่ได้แตกต่างกัน แต่เราแตกต่างกันแค่ภาษาและขนาดของตลาด ตลาดคนฟังเพลงภาษาไทยเล็กกว่าภาษาอังกฤษ แค่นั้นมันก็เป็นความแตกต่างที่มากเพียงพอแล้ว

GM : ในการทำงาน คุณจะทุกข์ง่ายๆ กับเรื่องอะไรบ้าง

ฮิวโก้ : ก็พวกเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม บางทีเซ็นสัญญากับค่ายแล้วโดนแช่ ผมเกลียดการรอคอยคำตอบ หรือกำลังจะทำอะไรแล้วทุกอย่างไม่เรียบร้อย จะไปเล่นงานแต่วีซ่ายังไม่ผ่าน หรือมาลุ้นว่าวันนี้มือกลองจะว่างหรือเปล่า ไม่มีแบบประมาณว่า ช่างมัน ... ปลง ... ผมไม่ใช่คนปลง ผมเครียดและโกรธ พยายามจะอ่านหนังสือ หรือหันไปทำอะไรบ้าง เพื่อที่จะไม่คิดถึงมัน

ผมอาจจะเป็นฝรั่งตรงนี้ นี่อาจจะเป็นเชื้อยิวจากพ่อ ที่คิดแล้วก็ไม่ยอมปล่อยวาง ถ้ายังไม่เรียบร้อย มันก็จะเครียดอยู่อย่างนั้น จนกว่าเรื่องจะจบ ถูกจัดการและผ่านไปแล้ว เรื่องเล็กๆ ยังขมวดคิ้วเป็นเดือนเลย

GM : มีข้อดีข้อเสียยังไงกับการเป็นคนแบบนี้

ฮิวโก้ : ผมเป็นคนซีเรียส ซึ่งเป็นอะไรที่ดีนะ เพราะภาษาอังกฤษ คำว่าซีเรียส สำหรับผมถือว่าเป็นคำชม ว่าเป็นคนจริงจัง แต่ในเมืองไทยไม่มีใครอยากซีเรียสเลย เฮ้ย มึงซีเรียสว่ะ มึงจริงจังไปเปล่าวะ ประเทศถึงเป็นอย่างนี้ไง ถ้าคุณโอเคกับความคิดแบบปลงๆ คุณก็ต้องไม่มีปัญหากับการขับรถของผู้คนบนถนน หรือการที่ใครจะมาตั้งตลาดตรงไหนก็ได้ การที่เราคิดหลวมๆ แบบนี้ ประเทศเราก็เป็นแบบนี้ มันอาจจะดีในแง่หนึ่งก็ได้ มันอาจจะเป็นการมองชีวิตที่ถูกต้องก็ได้ คนไทยน่าจะอายุยืนกว่าฝรั่งเพราะเหตุนี้ แต่หลายอย่าง ผมช่างแม่งไม่ได้

อย่างเช่น ถ้าเรามีเพื่อนที่ทำตัวไม่มีมาตรฐาน ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรเรานะ แต่สมมุติว่าทำอะไรกับเพื่อนคนอื่น พอเรารู้ก็ยากที่จะมองเขาเหมือนเดิม มีเพื่อนคนนึงไปติดตังค์เพื่อนอีกคนแล้วยังใช้ชีวิตที่เลิศหรู แล้วมันไม่จ่ายเขาสักที เราก็จะให้คะแนนลบ หรือเพื่อนเจ้าชู้ แล้วก็ให้เรารับรู้ แล้วมันก็ให้เราช่วยโกหกเมียมัน แบบนี้ไม่ได้นะ ก็คือหมดเครดิต

เอาอย่างนี้ คุณเป็นคนเจ้าชู้ ผมไม่ว่าคุณหรอก เพราะว่าคุณอาจจะตกลงอะไรกับเมียเอาไว้ แต่อย่าให้ผมไปมีส่วนร่วมกับความเจ้าชู้ของคุณแล้วกัน เพราะผมไม่เห็นด้วยกับการทำตัวแบบนั้น แต่อย่างว่าแหล่ะ เมืองไทยเราขึ้นอันดับต้นๆ ในเรื่องของความเจ้าชู้ที่สุดในโลก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมคิด ที่ผมรู้สึก มันอาจจะไม่ใช่กระแสหลัก แม้ในประเทศแม่ ในประเทศนี้ ซึ่งไม่ได้แปลว่าความคิดผมดีกว่านะ

GM : ไปอยู่ตะวันตกมานานๆ ทำไมถึงอนุรักษ์นิยมในเรื่องแบบนี้ ปกติเป็นคนเจ้าชู้ไหม

ฮิวโก้: ผมอยากเจ้าชู้ (หัวเราะ) ผมพยายามจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่านิสัยผมมันหึงหวงเกินไป ผมมีความเป็นตะวันตกตรงนี้ คือผู้หญิงผู้ชายมีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น ถ้าผู้หญิงเจ้าชู้ เราห้ามไปเรียกเขาว่าแรดนะ ผมเป็นคนอย่างนั้น ผมคงไม่พอใจแน่ๆ ถ้าแฟนผมไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะผมเองก็ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น ถ้าผมคบกับแฟนคนนี้อยู่ สิทธิเราเท่าเทียมกัน ผมถึงหวงของผม ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับแฟนผม และผมก็ไม่ไปยุ่งกับแฟนใคร

GM : มุมมองความรักตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

ฮิวโก้ : ความรักอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีการยอมรับความจริงอะไรบางอย่าง ต้องรู้จักตัวเอง แล้วก็ให้เกียรติในหลายเรื่อง อารมณ์ของคำว่ารักมันไม่พอ มันหล่อเลี้ยงคุณไม่ได้นานนักหรอก มันต้องมีอย่างอื่น มีความชอบพอ ต้องมีความใจเย็น ต้องมีความเห็นใจ ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงของคนด้วย

GM : การมีลูกเปลี่ยนแปลงคุณยังไงบ้าง คุณเคยพูดว่า การมีลูกทำให้คุณเด็ดขาด หมายความว่ายังไง

ฮิวโก้: หมายความว่ามันบังคับว่าผมต้องอยู่กับลูก ผมไม่อยากเป็นพ่อล่องหน จึงต้องตื่นเช้า เพื่ออยู่กับลูก บางอย่างเลยต้องตัดออกไปจากชีวิต สมมติว่าเพื่อนผมโทรมา เฮ้ย ไปกินข้าวกัน ไปโน่นไปนี่กัน เรากำลังจะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เราคงไม่วางหนังสือ แล้วบอกเพื่อ เออๆ เดี๋ยวกูตามไป มันเป็นการจัดลำดับความสำคัญนะ

GM : มีคนบอกว่า หลายอย่างที่เราทำกับลูก ล้วนเป็นสิ่งที่เราอยากทำกับตัวเองแต่ทำไม่ได้ คุณเป็นแบบนั้นไหม

ฮิวโก้ : ที่คุณว่านั่นมันเป็นเหมือนที่คนชอบโพสต์คำคมกัน และอะไรพวกนี้ส่วนมากผมโคตรเกลียดเลย (หัวเราะ) อย่างกับกูไม่เคยรู้มาก่อน ความไม่แน่นอนเท่านั้นที่แน่นอน อะไรอย่างงี้ กดไลค์กัน โคตรลึกซึ้งเลย แต่สิ่งที่ผมเคยอ่านมาจากหนังสือภาษาอังกฤษ เขาบอกว่า สิ่งที่เราพูดออกมา จะกลายเป็นเสียงในหัวลูก เสียงที่เตือนเรา คือเสียงของพ่อแม่เราที่เคยปลูกฝังไว้ เราเลยพยายามที่จะไม่พูดอะไรผิดๆ กับลูก

อย่างลูกอย่าเข้าห้องนั้นนะ เดี๋ยวผีหลอก อะไรอย่างนี้ เราพูดแต่ความจริง หรือถ้าเรารู้สึกว่าความจริงมันน่ากลัวหรือน่าเกลียดเกินไปที่จะพูด ก็ไม่ต้องพูดอะไรเลย ให้เขาคิดได้เองดีกว่า ถ้าเขาถามอะไรที่เรายังไม่มีคำตอบ เราก็บอกเขาตรงๆ ไปเลยว่าพ่อไม่รู้

GM : พ่อลูกเวลาอยู่ด้วยกันจะคุยเรื่องอะไร
ฮิวโก้: มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเรื่องความตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมมีคนแก่กว่าคนอื่น ทำไมทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อม บางทีเด็กก็เข้าใจอะไรผิดๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนนี้ดูเก่ากว่าคนนี้ เราก็ต้องอธิบายเรื่องพวกนั้น เรื่องความตาย ความแก่ชรา ความเจ็บป่วย ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีคนบางคนได้ตายไปแล้ว

อย่างเวลาผมเปิดเพลงให้ฟัง เขาก็จะถามว่านักร้องคนนี้ตายไปหรือยัง เขาถามว่าคุณทวดตายไปแล้วเหรอ ตายไปแล้ว แล้วเขาอยู่ไหน ฝังไว้ในดิน แล้วจะเอากระดูกขึ้นมาดูได้หรือเปล่า ไม่ได้ เขาไม่ชอบให้ขุด เขาก็ถามไปเรื่อยๆ ผมก็พยายามตอบ

GM : มีเรื่องที่คุณอยากเน้นกับลูกเป็นพิเศษไหม
ฮิวโก้: แน่นอนว่าเป็นเรื่องการเคารพสุภาพสตรี เพราะความศิวิไลซ์ของมนุษย์อยู่ตรงนี้ ประเทศที่ปฏิบัติกับสตรีดีแค่ไหน เขาก็ศิวิไลซ์เท่านั้น ประเทศไหนที่สุภาพสตรีเลือกตั้งไม่ได้ หรือถูกทุบตี ก็อย่าไปอยู่เลย มันไม่ศิวิไลซ์ ความศิวิไลซ์ขึ้นอยู่กับผู้ชาย เพราะว่าผู้ชายเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดในโลก ไม่มีอะไรอันตรายกว่าผู้ชายที่ไม่มีอะไรจะเสีย เขาไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้เคารพผู้หญิง

GM : ต้องสอนให้เขาดูหนังโป๊ด้วยไหม
ฮิวโก้: ไม่จำเป็นมั้ง ถ้าอยากดูก็ไปหาดูเอง ผมเองก็จะไม่ดูหนังโป๊กับพ่อผมแน่ๆ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ในเน็ตมันมีแล้ว จะดูอะไรก็ดูไปเถอะ แต่แน่นอน มันคงจะไม่เกิดขึ้นก่อนจะเป็นวัยรุ่น

GM : ปกติเป็นมนุษย์โซเชียลมีเดียไหม
ฮิวโก้ : จำเป็น เพราะธุรกิจผม เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยโลกโซเชียลมากๆ แต่ผมค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัว และไม่คิดว่าชีวิตประจำวันของตัวเองน่าสนใจ อะไรที่นอกเรื่องงาน ก็พยายามว่าไม่โพสต์ดีกว่า สมมติวันหนึ่งผมตื่นมา แล้วโพสต์ว่าประเทศชาติแม่งอย่างโน่นอย่างนี้ โพสต์แบบนี้ในเพจงานจะดีเหรอ มันไม่เกี่ยวไง แต่ในเพจส่วนตัว ผมก็ได้ระบายอะไรไปก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องสุเทพชัทดาวน์ ผมก็ใส่ๆ นั่นคือผมอยากให้เพื่อนที่ใกล้ชิดได้รู้ ส่วนคนที่ฟังเพลง ก็ฟังเพลงไป ความคิดทางการเมืองก็เก็บเอาไว้เป็นส่วนตัวบ้าง

GM : มองคนรุ่นใหม่ในเวลานี้ยังไง
ฮิวโก้ : การมาของอินเตอร์เน็ต ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถหาข้อมูลที่แท้จริงได้มากขึ้น โลกอยู่ที่ปลายนิ้ว มันมีอาหารสำหรับสมองเพียบเลย พอมีของพวกนี้ ทำให้คนรุ่นนี้ก็มีรสนิยมมากกว่าสิบปีที่แล้ว มีช่องทางที่จะค้นหาสิ่งที่เขาชอบ แล้วก็เลือกโดยไม่ต้องมีใครมายัดเยียดทางโทรทัศน์หรือวิทยุเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้กรอกหูยาก บังคับยาก บังคับให้ชอบอะไรไม่ได้ ผมว่าดีออก

แต่ในยุคนี้ มีสิ่งที่เรียกร้องสมาธิเขามากกว่าเดิม อย่างโซเชียลมีเดีย ทำให้ทุกคนคิดเหมือนดารา รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนดู มีคนฟัง ชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องของการสร้างภาพ ซึ่งดาราเคยทำมาตลอดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนทำตัวเป็นดารา ทุกคนสร้างภาพได้

การสร้างภาพมันไม่ดีหรอก เพราะว่ามันไม่จริง วันหนึ่งความจริงมันก็ต้องโผล่ออกมา การให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดี การบูชาตัวเองนั้นไม่มีประโยชน์อะไร มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาชีวิตที่รุนแรงหรือเลวร้าย แต่มันไม่เป็นประโยชน์

GM : สิ่งที่หล่อหลอมให้คุณเป็นคนแบบนี้ คิดแบบนี้เชื่อแบบนี้

ฮิวโก้: ถ้าเป็นเรื่องความรัก เหตุผลที่ผมไม่เจ้าชู้เพราะแม่มีอิทธิพลมากที่สุด พ่อก็มีอิทธิพลทางความคิด เขาเป็นคนช่างคิดช่างอ่าน ค่อนข้างเป็นคนค้านกระแสหลัก เถียง ไม่นับถือ แอบสงสัยใครที่แสวงหาอำนาจและความโด่งดัง ส่วนถ้าเป็นคนในวงการบันเทิง ก็มีพี่โอ๋ ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์

ตอนเด็กๆ เคยเรียนอยู่กับอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ได้นิสัยความเป็นคนไม่กลัวอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็น ลงลายเส้นด้วยความเด็ดขาด จะเขียนเป็นวงกลมก็เขียนไป ไม่ใช่ค่อยๆ ขีด ค่อยๆ ลาก กล้าๆ กลัวๆ ทำไปด้วยความมั่นใจ อีกคนคือพี่แอ๊ด คาราบาว ถ้าไม่มีพี่แอ๊ดมาให้การยอมรับ แม้แต่นิดเดียว ผมคงมาไม่ถึงวันนี้ เขาให้มาศอก ผมเอาคืบ เอาไปต่อยอด

ใครก็บอกผมว่าไม่ควรมาร้องเพลง แม่งเสียงทุเรศ แต่ถ้าแอ๊ด คาราบาว ยอมรับผม ผมก็ไม่ฟังใครแล้ว สำหรับผม ถ้าไม่พูดเรื่องความคิดเห็นทางการเมือง เอาแค่วิชาชีพ สิ่งที่เขาทำอย่างเดียว เมืองไทยมีวงเดียวก็ได้ คาราบาววงเดียวพอ ตอบสนองได้ทุกอย่าง บางทีผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับจุดยืนของพี่แอ๊ดในบางเรื่อง พี่แอ๊ดเขาชาตินิยมเกินไป แต่ในฐานะมนุษย์ มิตรภาพที่พี่เขาหยิบยื่นให้ มันทำให้ผมมองตัวเองว่า อะไรที่เคยเห็นแก่ตัวมันเบาบางลงไปเยอะ

GM : อยากให้คุณช่วยพูดถึงเรื่องการแสดงออกทางการเมืองของตัวเอง
ฮิวโก้: เรื่องการไปประท้วงทางการเมือง ตอนนั้นไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ คือผมกับวงสิบล้อ ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลยุคนั้น ในเรื่องการสงครามยาเสพติด การจัดระเบียบสังคม และการใช้อำนาจในภาคใต้ ทุกอย่างส่งผลกระทบ เพราะว่าสิบล้อเป็นวงที่ดังอยู่ทางภาคใต้ พอเขามีปัญหาเรื่องรัฐใช้ความรุนแรง ทั้งที่ผมเองเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนพวกนั้น อาจจะเป็นแค่เพียงเด็กหลงทาง ช่วงนั้นผมจึงออกมาแสดงความคิดเห็นบ่อยมาก

ก่อนหน้าจะไปร่วมประท้วง ผมก็ให้สัมภาษณ์แล้วให้สัมภาษณ์อีก เรื่องความอันตรายของระบอบทักษิณ พอมีการชุมนุมเกิดขึ้นมา ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ไปไม่ได้ ในเมื่อเราเคยออกตัวขนาดนี้แล้ว แต่ในที่สุด พอไปร่วมแล้วก็พบว่ามีความรู้สึกขัดแย้ง รู้สึกผิดหวัง และสับสนนานมากหลังจากทหารยึดอำนาจ ตั้งแต่ปี 2549

หลังจากนั้นมา กลุ่มพันธมิตรฯ กลายเป็นองค์กรอนุรักษ์นิยมเอียงขวา ผมเลยรู้สึกว่ากำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง

เพราะโดยสัญชาตญาณลึกๆ ผมนั้นหัวเอียงซ้าย นามสกุลของผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองของผม หรือความคิดเห็นที่ผมแสดงต่อความยุติธรรม ความถูกต้อง หรือหลักการ ผมไม่เคยนับชนชั้น เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงมาอย่างนั้น แต่ถูกเลี้ยงมาให้รู้จักแยกแยะ

ผมคบเพื่อนเพราะคุยกันแล้วถูกคอ หรือมีอะไรสักอย่างในตัวของเขาที่น่ายอมรับนับถือ โดยไม่เคยสนใจเลยว่าจะเป็นใครมาจากไหน ชนชั้นไหน ตั้งแต่เด็กๆ ผมอยู่เมืองนอก ก็ถูกเลี้ยงมาแบบฝรั่ง การคิดอะไรแบบเฉพาะพวกพ้อง หรือถือชนชั้น นั่นเป็นเรื่องที่โบราณมาก นอกจากโบราณแล้วยังผิดอีกด้วย เพราะพวกพ้อง ชนชั้น หรือนามสกุล ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันคุณภาพของตัวบุคคลเลย เผลอๆ คนนั้นอาจจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

โดยส่วนตัว ผมติดตามข่าวสารเป็นประจำ อ่านข่าวการเมืองบางครั้งก็อยากจะอ้วก เวลาอ่านข่าวการเมืองไทย ผมคิดว่าข่าวก็ไม่ได้แตกต่างจากนิยาย มันน่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องราวที่เราไม่รู้ว่าจะจบลงยังไง เหมือนเราไปดูกีฬาน่ะ อย่างฟุตบอลก็เหมือนนิยาย ทุกคนกำลังสนุก เพราะไม่รู้ว่าจะจบยังไง ไม่รู้ว่าใครจะชนะ การเสพข่าวมันน่าสนุกตรงนี้

GM : คุณเดาไม่ออกเลยเหรอ ว่าการเมืองไทยจะมาจบลงแบบนี้

ฮิวโก้ : ผมคิดว่า หนึ่ง ต้องไม่มีกฎอัยการศึก และสอง ผมอยากจะเห็นพรรคเพื่อไทยกับฝั่งเสื้อแดง วิวัฒนาการตัวเองไปเป็นพรรคแรงงาน ที่อยู่เพื่อผู้ใช้แรงงาน สนใจความความต้องการทางการเมืองของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพื่อความต้องการของขั้วอำนาจใหม่หรือความต้องการของคนจากครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง

ผมหวังว่าพวกเขาจะแสดงให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ได้เห็นเสียทีว่าเขามาเป็นตัวแทนของกลุ่มแรงงาน เกษตรกร และคนด้อยโอกาส ถ้าพวกเขาวิวัฒนาการไปได้ในฟีลนี้ เขาจะเป็นพรรคการเมืองที่รุ่งเรืองต่อไป และชัดเจนในเป้าหมาย ประเด็นหลักในตอนนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าทักษิณได้อยู่เมืองไทย หรือญาติๆ ของเขาจะได้เป็นนายกฯ ผมว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงและเพื่อไทย น่าจะมีสิทธิ์ชนะในการเลือกตั้ง แล้วก็จะเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครปฎิเสธได้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากเห็น

GM : ไม่เหมือนกันหรอก มีฝ่ายหนึ่งที่ถูกทำให้กลัวมากกว่า

ฮิวโก้ : จึงลำบากไงครับ ซึ่งนี่ก็สะท้อนให้เห็นความเป็นไปในประเทศที่เราอยู่ๆ กัน อย่างเรื่องมาตรา 112 ถ้าพูดถึงมาตรฐานโลก ถือเป็นกฎหมายที่ไม่มาตรฐาน แต่มันก็สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนของคนไทย ในความรักที่มีต่อสถาบัน คล้ายศาสนา คล้ายแรงศรัทธา ที่อยู่นอกเหนือจากเหตุผล แต่เกี่ยวกับวัฒนธรรมลึกๆ ที่ถอดออกจากความเป็นไทยไม่ได้

เพราะว่าจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าความเป็นไทยก็ไม่ได้มีอะไรมากเลย มันเป็นแค่ความคิดทางการเมือง มากกว่าความจริงทางชนชาติหรือเชื้อชาติ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง เราก็มีชนชาติต่างๆ มาอยู่ร่วมกันเยอะแยะ โดยที่ในความเป็นไทย เราตกลงกันไว้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ว่ามีสถาบันนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงมีลักษณะที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ

GM : คิดว่าเร็วๆ นี้จะมีการเลือกตั้งไหม
ฮิวโก้: ก็เห็นพวกทหารเขาบอกว่าจะมี อีกไม่นาน

GM : คุณเชื่อเขาเหรอ
ฮิวโก้: ผมไม่รู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่ผมว่าเจตนาเขาคงไม่อยากถืออำนาจไปเรื่อยๆ ใครที่คิดว่าคุณประยุทธ์เป็นคนบ้าอำนาจหรือแสวงหาอำนาจมาทั้งชีวิต ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าเขาคงคิดได้ เมื่อตอนเรียกนักการเมืองสองฝ่ายมาคุย เขาคงวางแผนไว้บ้าง แต่พอเห็นว่าในเมื่อสองฝ่ายที่มีอำนาจสุดในประเทศนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมว่ามันไม่ได้เป็นการตั้งใจ แต่ยังไงๆ เราก็ต้องไว้ใจและเฝ้าจับตา

GM : ไว้ใจอะไร จับตาอะไร
ฮิวโก้: ไว้ใจทหารที่บอกว่าจะให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ ... แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ... (หัวเราะ) อันนี้เพลงนะครับ ก็ต้องลองเชื่อไปก่อน โอเค ถ้าคุณไม่เชื่อแล้วจะให้ทำยังไง ผมคนหนึ่งล่ะจะไม่ไปต่อสู้กับกองทัพไทย ผมไม่อยากถูกปรับทัศนคติ เพราะทัศนคติคนอย่างผมยังไงก็ปรับไม่ได้ และผมก็มีลูกสองแล้ว ผมไม่อยากให้ทหารนับผมเป็นศัตรูของประเทศ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook