แนวคิดเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence : EI) ถูกศึกษากันมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่แนวคิดนี้เริ่มแพร่หลาย และเริ่มที่จะมีคนเห็นความสำคัญ คือในปี 1995 จากหนังสือ Emotional Intelligence ของ Daniel Goleman
ถึงอย่างนั้น ช่วงแรก ๆ ก็ไม่มีใครที่มองว่าความฉลาดทางอารมณ์นั้นมีส่วนสำคัญต่อการทำงาน ด้วยความที่มันดูเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เลยมักคิดกันว่าความฉลาดทางอารมณ์ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เมื่อมีการศึกษา วิจัยในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์กันมากขึ้น ก็พบว่าความฉลาดทางอารมณ์มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานมากเลยทีเดียว
นอกจากนี้ McKinsey & Company ยังคาดการณ์ว่า ต่อจากนี้ไป องค์กรต้องการคนที่มีทักษะทางเทคโนโลยี สังคม อารมณ์ และความรู้ความเข้าใจขั้นสูง ภายในปี 2030 ยิ่งโลกหลังโควิด-19 ความฉลาดทางอารมณ์จะมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานมากกว่าที่เคย ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่เราต้องพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อประโยชน์ต่อการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงานในองค์กร
1. มั่นคงทางอารมณ์
แม้ว่าความฉลาดทางอารมณ์จะเป็นชุดของทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรม แต่ก็เป็นตัวแปรได้เช่นกัน เพราะอารมณ์คนเราขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ตลอดเวลา เวลาที่เราเหนื่อยหรือหงุดหงิด เราอาจสูญเสียความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ที่แย่กว่านั้นคืออาจเกิดกระตุ้นขึ้นโดยง่าย แล้วอาจแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวออกมา
ในเมื่อความฉลาดทางอารมณ์เป็นความสามารถที่ใช้สำหรับจัดการชีวิตของเรา รวมถึงสร้างความสามารถได้ จึงต้องเริ่มจากการพัฒนาความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีสติ ทำจิตใจให้สงบ ให้ตัวเองได้ผ่อนคลายจากความเครียด ความวิตกกังวลต่าง ๆ หยุดพักเมื่อต้องการ ใช้วันหยุดพักร้อนบ้าง และถ้าเป็นวันหยุด ก็พยายามอย่ายุ่งกับงาน
2. ฝึกการเอาใจใส่ผู้อื่น
ง่ายที่สุดของการฝึกเอาใจใส่ผู้อื่น คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือพยายามมองตัวเองให้เป็นเขา นี่เป็นทักษะการเป็นผู้นำที่สำคัญที่สุด การเห็นอกเห็นใจเป็นรากฐานในการสร้างและกระชับความสัมพันธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถสร้างทีมที่ดี มีส่วนร่วมต่อกัน และมีประสิทธิภาพในการมากขึ้น อีกทั้งการฝึกเอาใจใส่ผู้อื่นยังช่วยเพิ่มพูนความสุข ฝึกการแสดงออกของตนเอง และส่งเสริมความร่วมมือต่อกัน สามารถฝึกได้ด้วยการ
3. อ่อนไหวทางอารมณ์บ้าง
ความเปราะบางหรือความอ่อนไหวทางอารมณ์ “เป็นความเต็มใจที่จะรับรู้อารมณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเจ็บปวด” เมื่อพูดถึงความเปราะบาง มักจะหมายถึงความอ่อนไหวทางอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ที่ยากลำบาก เช่น วิตกกังวล คับข้องใจ และรู้สึกละอาย แต่อีกส่วนหนึ่ง มันคือการยอมรับอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น และหาวิธีจัดการกับมัน ตัวอย่างเช่น เมื่อรู้สึกท้อแท้กับงาน ก็อาจจะไปเดินเล่นเพื่อเคลียร์สมอง เมื่อวิตกกังวล เราอาจจะท่องบทสวดมนต์ หรือถ้ากำลังรู้สึกแย่ ก็อาจจะโทรหาเพื่อนที่ทำให้เราหัวเราะได้
แม้ว่าความอ่อนไหวทางอารมณ์อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายใจ แต่มันสามารถลดความวิตกกังวล กระชับความสัมพันธ์ และทำให้ตระหนักในตนเองมากขึ้น เพื่อให้สร้างความอ่อนไหวทางอารมณ์ ให้ลอง
4. เน้นสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี
ประเด็นสำคัญคือ ต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขภาพจิต ในเดือนมกราคม 2021 มีรายงานพบว่าผู้ใหญ่มากกว่า 41 เปอร์เซ็นต์ มีอาการวิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้า ซึ่งหากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลต่อกระทบตั้งแต่สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต ความสัมพันธ์ ไปจนถึงประสิทธิภาพการทำงาน
อย่างไรก็ดี มีวิธีง่าย ๆ ที่เราทำได้ เพื่อดูและสุขภาพจิตของเราให้ดี โดย
ส่วนในระดับองค์กร ผู้นำก็สามารถเข้าไปกำหนดตัวกลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือพนักงาน เช่น
5. เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการวิจารณ์และข้อเสนอแนะ
เมื่อพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์หรือคำติชม หลายคนก็รู้สึกสั่นสะท้านด้วยความกลัวแล้ว จริง ๆ แล้วนั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะธรรมชาติของคนเราไม่ชอบให้ใครมาตำหนิติเตียน หรือได้ยินคนอื่นพูดถึงข้อบกพร่องของตัวเอง แทนที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น ให้เผชิญหน้ากับมัน แล้วใช้ข้อเสนอแนะที่ได้รับมาปรับปรุงและพัฒนาตนเอง มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นไปได้ โดยการถามตัวเองก่อน
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ให้มองความคิดเห็นเชิงลบเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ซึ่งต้องไม่ใช่การโจมตีส่วนบุคคล แต่วิจารณ์ถึงทักษะ ความสามารถหรือข้อผิดพลาด เพื่อที่จะได้รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แล้วต้องเริ่มแก้จากไหน ยิ่งไปกว่านั้น คำติชมสามารถยังเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยที่ไม่ดีของเราได้ด้วย สำหรับผู้ที่เป็นผู้นำ มันก็ช่วยให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ และยังสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าและพนักงานได้อีกด้วย
6. สร้างความผูกพันทางสังคม
หากคนในทีมเดียวกันรู้สึกไม่สนิทใจต่อกัน ก็ยากที่จะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เพราะฉะนั้น การสร้างความผูกพันระหว่างคนในทีมจึงเป็นสิ่งจำเป็น ยิ่งช่วงที่ผ่านมาการ Work from Home ทำให้ทุกคนในทีมต้องแยกย้ายกันไปทำงานบ้านใครบ้านมัน ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่ปกติจะต้องมีได้เจอหน้าพูดคุยกันทุกวันเวลาเข้าออฟฟิศ
เพื่อแก้ปัญหานี้ ในทีมอาจจะต้องหาเวลาและกิจกรรมทำร่วมกันบ้าง ไม่จำเป็นต้องไปเจอหน้ากันจริง ๆ เพราะเราสามารถทำกิจกรรมร่วมกันในระยะไกลได้ เช่น การกินกลางวันเสมือนจริง การแข่งขันเกม ท้าแข่งกันลดน้ำหนัก รวมถึงกิจกรรมอาสาสมัครหรือการบริจาคเพื่อการกุศล การได้ทำกิจกรรมร่วมกัน จะทำให้คนในทีมรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมกับทีม มีความสำคัญกับทีม จึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
7. การแบ่งปันคือความห่วงใย
เพราะความฉลาดทางอารมณ์มีความสำคัญต่อการทำงาน ทั้งกับตัวเองและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งบรรยากาศในการทำงานคงจะดีแน่ ๆ ถ้าทุกคนในทีมต่างมีความฉลาดทางอารมณ์ในการเข้าหากัน ดังนั้น หากมีบทความ หนังสือ Podcast หรือ Ted Talks ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ อย่าลืมแนะนำแหล่งการเรียนรู้ดี ๆ นี้ให้กับเพื่อนร่วมงาน (หรือกับผู้อื่น) เพื่อให้เขาจะได้นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของตนเองได้
สำหรับคนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน อาจลองจัดการสัมมนาในลักษณะนี้ขึ้นมาเพื่อพนักงานก็ได้ เพราะความฉลาดทางอารมณ์จะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น การสัมมนาอาจมีการสร้างสถานการณ์จำลอง หรือไม่ก็มีแบบทดสอบความฉลาดทางอารมณ์ให้ลองทำ เพื่อที่จะได้รู้ว่าตนเองอยู่ระดับไหน แล้วต้องพัฒนาอะไรบ้าง
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :Entrepreneur