อยากได้งาน “เรซูเม่” มีคุณภาพมากพอหรือยัง?

อยากได้งาน “เรซูเม่” มีคุณภาพมากพอหรือยัง?

อยากได้งาน “เรซูเม่” มีคุณภาพมากพอหรือยัง?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การทำเรซูเม่ หรือประวัติย่อสำหรับสมัครงานนั้น เป็นทักษะที่ทุก ๆ คนควรมี เพราะเรซูเม่จะเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นแรกที่จะช่วยในการหางาน อีกทั้งยังเป็นเป็นด่านแรกที่จะทำให้ฝ่ายบุคคลของบริษัทที่เราสมัครงานไปนั้นได้รู้จักกับตัวคุณ เพราะฉะนั้นการมี “เรซูเม่” ที่โดดเด่นและถูกหลักการนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นหากต้องการจะหางานให้ได้งานในอนาคต

อันที่จริง การทำเรซูเม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือ การทำออกมาให้ถูกหลักและมีคุณภาพต่างหาก ความโดดเด่นของเรซูเม่ไม่ได้หมายความต้องสีสันฉูดฉาดตกแต่งสวยงามเกินหน้ากระดาษแผ่นอื่น แต่เป็นความโดดเด่นชนิดที่เพียงแค่เห็นผ่านตาก็อยากจะหยิบมาพิจารณา ซึ่งถ้าหากอยากให้เรซูเม่ของตัวเองได้คุณภาพดังว่า ให้คำนึงถึงหลักง่าย ๆ ดังนี้

1. ใช้รูปถ่ายที่ดูเป็นทางการ
การส่งเรซูเม่ไปสมัครงานนั้น คุณต้องให้เกียรติบริษัทที่คุณกำลังจะสมัครงานด้วย ในขณะที่เรซูเม่ของคุณมีแต่ตัวหนังสือ รูปถ่ายจึงเป็นภาพแรกที่เขาจะเห็นคุณก่อนเรียกมาสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นรูปที่ใช้สำหรับการสมัครงานควรจะเป็นรูปที่ดูเป็นทางการ คือ ภาพหน้าตรง สวมใส่ชุดสุภาพนั่นเอง เพราะถ้าคุณใช้รูปที่ถ่ายเล่น ๆ นอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติบริษัทที่คุณไปสมัครแล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของคุณด้วย ลักษณะจะคล้าย ๆ กับการถ่ายรูปทำวีซ่าหรือพาสปอร์ต อาจไม่ต้องเคร่งขรึมขนาดนั้น แต่ได้สักครึ่งก็ยังดี

2. ให้เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้
หลายคนอาจจะเอะใจขึ้นมาว่าแค่เบอร์โทรก็มีปัญหาเหรอ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีคนหลายต่อหลายคนฝากประวัติย่อไว้ แต่ให้เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อไม่ถึงตัว ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ของคุณโดยเฉพาะเลย เพราะถ้าเกิดบริษัทสนใจนัดสัมภาษณ์งาน เขาอาจจะติดต่อคุณไม่ได้ และบริษัทส่วนใหญ่ก็จะไม่เสียเวลามาตามหาข้อมูลติดต่อได้ เพราะเขาไม่มีเวลามากพอ หลังจากนั้นเขาก็คงจะเลือกติดต่อกับผู้สมัครรายอื่นแทน

นอกจากเบอร์โทรศัพท์แล้ว อีเมลเองก็สำคัญ ให้อีเมลที่ดูดี มีความเป็นทางการ อย่าใช้อีเมลที่ใช้ชื่อข้อความหยาบคายหรืออีเมลที่ตั้งด้วยชื่อเล่น ๆ ไปล่ะ เพราะดูไม่มืออาชีพเอาเสียเลย และที่สำคัญ ต้องเป็นอีเมลที่ติดต่อได้และต้องหมั่นเข้าไปดูอีเมลด้วย เผื่อเขาอีเมลตอบกลับมา

3. ปรับประวัติย่อให้เข้ากับงานที่สมัคร
คุณสามารถปรับ “ประวัติย่อ” ให้เข้ากับงานที่ไปสมัครได้ และสิ่งสำคัญที่ควรดูเพื่อช่วยในการปรับนั้น คือ ดูตำแหน่งงานที่สมัคร และดูว่าบริษัทนั้นต้องการเห็นอะไรในตัวผู้สมัครบ้าง และพยายามปรับเรซูเม่ตาม เรียงลำดับความสำคัญตามความเหมาะสมกับงานแต่ละงานที่จะสมัคร

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอสมควร คุณอาจจะมองว่า “ประวัติก็ดีอยู่แล้ว จะให้ปรับอะไรอีก?” จริง ๆ แล้วมันมีหลายเรื่องที่สามารถปรับได้ เช่น ถ้างานที่คุณไปสมัคร เน้นว่าคุณต้องพูดภาษาอังกฤษได้ดี ก็ควรจะแสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาเข้าไปด้วย หรือเน้นประวัติไปในด้านการพูดภาษาอังกฤษให้มากกว่าด้านอื่นสักหน่อย เช่น ใส่คะแนนสอบภาษาอังกฤษอย่าง IELTS หรือใส่ว่าคุณมีทักษะหรือเคยทำกิจกรรมในการพูดภาษานั้น ๆ ไป

บางงานอาจถามถึงทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ คุณอาจจะเขียนย่อไว้ในประสบการณ์ทำงานกับบริษัทเก่า หรือมหาวิทยาลัยว่า ใช้โปรแกรมนี้เป็น ใช้บ่อย เชี่ยวชาญประมาณไหน หรือเคยเข้าคอร์สฝึกการใช้โปรแกรมต่าง ๆ มาแล้ว และต้องไม่ลืมว่าแค่ประวัติการเรียนและงานนั้นอาจจะไม่พอ ถ้าคุณเคยไปออกแคมป์ ฝึกงานที่ไหน มีผลงาน หรือเคยทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับงานที่จะสมัครไปนั้น ก็ควรจะใส่เอาไว้ในเรซูเม่ด้วย

4. ถ้ามีคนติดต่อได้ จะดีมาก
การบอกประสบการณ์ในการทำงานและผลการเรียนนั้น เป็นข้อมูลปกติที่ก็ต้องบอกกันอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าคุณมีคนมารับรองประสบการณ์ของคุณด้วย (จะเป็นเจ้านายที่ทำงานเก่า หรืออาจารย์ที่เคยเรียนด้วยตอนมหาวิทยาลัย) ก็จะทำให้เรซูเม่ของคุณดูมีน้ำหนักมากขึ้น และคนที่จะจ้างงาน ก็สามารถติดต่อเพื่อสอบถามการทำงานในงานก่อน ๆ ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าผู้สมัครเป็นคนแบบไหน ประกอบการพิจารณา

อย่างไรก็ตาม การจะใส่ชื่อและข้อมูลติดต่อของใครไปควรจะขออนุญาตและแจ้งให้เจ้าตัวรู้ก่อน อย่างหนึ่งคือมารยาทในการกล่าวอ้างถึงคนอื่น และเพื่อเขาจะได้เตรียมพร้อมเกิดมีคนติดต่อไปหาจริง ๆ

5. ประวัติงานและการศึกษาไม่ใช่ทุกอย่าง และเยอะเกิน ก็ใช่ว่าจะดีเสมอ…
บางบริษัทอาจจะมองเรื่องประสบการณ์การทำงานและระดับการศึกษาเป็นหลัก แต่ก็มีหลาย ๆ บริษัทที่ระบุว่าอยากได้คนที่ทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย ยิ่งถ้าเป็นบัณฑิตจบใหม่และยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานมาก่อน อาจจะต้องนำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำในมหาวิทยาลัยมานำเสนอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีศักยภาพ และได้อะไรจากการทำกิจกรรมเหล่านี้บ้าง จะเป็นกิจกรรม หรืองานวิทยานิพนธ์ที่เคยเขียน ประวัติความสำเร็จในการเรียน เช่น ทุนการศึกษา เคยเป็นอาสาสมัคร หรือพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ทุก ๆ อย่างจะช่วยให้ประวัติของคุณดูมีน้ำหนักและน่าสนใจมากขึ้น

บางคนที่มีคะแนนตอนเรียนดี ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำงานได้ดี และถ้าเรียนดีแต่ไม่มีกิจกรรมนอกวิชาเรียนเลย บางบริษัทก็อาจจะมองว่าคน ๆ นี้ ไม่เหมาะกับงานก็ได้เหมือนกัน

6. อย่าให้ยาวจนเกินไป
สิ่งหนึ่งที่ควรระวังเวลาจะส่งประวัติย่อ นั่นคือความยาว เพราะนี่คือ “ประวัติย่อ” ไม่ใช่ “เรียงความ” ซึ่งมีข้อแนะนำว่า ประวัติย่อควรจะมีความยาวประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ A4 โดยประมาณ เพราะเจ้าหน้าที่บางคนอาจจะไม่มีเวลาอ่านประวัติของคุณจนหมด เพราะฉะนั้นถ้าเขียนประวัติยาว เขาอาจจะไม่อยากอ่านก็ได้

ในขณะเดียวกัน การทำเรซูเม่ภาษาอังกฤษ ควรเตรียมประวัติส่วนตัวสั้น ๆ ประมาณ 1 ย่อหน้า (4-5 บรรทัด) ก็จะดีมาก เพื่อเป็นการแนะนำตัวให้กับคนที่อ่านประวัติของคุณ ช่วยร่นเวลาให้เขาได้มากทีเดียว การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้คัดประวัติสนใจอยากอ่านประวัติ โดยไม่จำเป็นจะต้องอ่านประวัติย่อให้จบ ก็พอจะรู้จักกับตัวผู้มาสมัครงานแล้ว พยายามเน้นข้อดีของคุณไว้พอสมควรในประวัติส่วนตัวนี้ แต่สุดท้ายคือ อย่าให้ยาวจนเกินไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook