เดินตามรอยที่ไม่สิ้นสุดของเนวิเกเตอร์ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”

เดินตามรอยที่ไม่สิ้นสุดของเนวิเกเตอร์ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”

เดินตามรอยที่ไม่สิ้นสุดของเนวิเกเตอร์ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตของแต่ละคน ย่อมมีทิศทางและแผนที่กันคนละแบบ ด้วยลายเส้นที่แตกต่างกันไป สำหรับพระเอกตลอดกาล "ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี" ก็เช่นกัน หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 ภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง ทำเอา  “แดง ไบเล่ หรือ ติ๊ก เจษฎาภรณ์” กลายเป็นที่รู้จักและแทบตกหลุมรักในทันที ด้วยคาแร็คเตอร์ที่รูปหล่อแนวแบดบอย หลังจากนั้น พี่ติ๊ก ก็มีผลงานละครและภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นนักแสดงที่มีความเป็นตัวเองสูง

นอกจากนี้ เขายังรักในการเดินทาง ท่องเที่ยว เพราะการผจญภัยเท่านั้นที่จะทำให้เขาได้เรียนรู้อย่างแท้จริง ช่วยเป็นกระบอกเสียงปลุกจิตสำนึกให้สังคม ด้วยการทำรายการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่าง “รายการเนวิเกเตอร์” ที่ทำเอาสาวๆ หลายคนอยากเดินตามเข้าป่า จากอดีตจนปัจจุบันก็ 20 กว่าปีแล้วสำหรับพระเอกตลอดกาลคนนี้ วันนี้เราจะพาทุกคน ออกเดินทางไปตามรอยของเนวิเกเตอร์ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์20 ปีในวงการ กับใบหน้าที่หล่อเหลาเหมือนดั่งสต๊าฟไว้

ผมเริ่มต้นถ่ายโฆษณาแรกๆ เลยประมาณ ป.3 แล้วก็เว้นเวลาไปอีกทีก็ช่วงมัธยม ม.ปลาย ประมาณช่วง ม.5-ม.6 แต่ถ้าเกิดนับเป็นผลงานที่เป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไปก็คือ หนังเรื่องแรก “2499 อันธพาลครองเมือง” ตอนที่เริ่มถ่ายผมอายุ 19 ปี ช่วงนั้นอยู่มหาวิทยาลัยปี 2-3 หนังฉายปี 2540 ผมอายุครบ 20 พอดี ตอนนี้ผมก็อายุ 24 (หัวเราะ) ถ้าถามว่าผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว ทำไมหน้าตาของ  “ติ๊ก เจษฎาภรณ์” ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือผมหน้าแก่แต่เด็กครับ (หัวเราะ)

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน กับความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น

ในตอนนี้ถ้าจะถามว่าผมทำงานหนักไหม ก็หนัก  แล้วก็เหนื่อยด้วย นับวันก็จะยิ่งเหนื่อยมากขึ้น เพราะว่าความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น จากที่งานเมื่อก่อนเราเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง เราก็เริ่มจากการเป็นตัวประกอบก่อนมันก็ไม่ต้องมีอะไรมากมาย รอเข้าคิวเดินผ่านแวบๆ พอเริ่มถ่ายหนัง ก็เริ่มมีงาน 1 ชิ้น แต่ในขณะเดียวกันอีกพาร์ทหนึ่งเราก็สลับไปกับการเรียนด้วย เวลามันก็แทบจะไม่ได้พัก เรียนเสร็จทำงานต่อ พอเรียนจบก็ยังคงมีงานเหมือนเดิม แต่ว่าจะมีงานเพิ่มมากขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าในศักยภาพของเรามันสามารถทำได้มากขึ้น สักระยะหนึ่งผมก็เริ่มทำรายการเนวิเกเตอร์ด้วย เป็นรายการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กึ่งๆ แนวผจญภัย มันก็เลยเหมือนกับว่าเรามีงาน 2 อย่างทำควบคู่กันไป

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์หัวใจคือปัจจัยสำคัญในการทำงาน

ในการรับงาน ผมคิดว่าทั้งหมดเราต้องถามหัวใจตัวเอง ว่าเรารู้สึกยังไงกับสิ่งที่เรากำลังจะทำงาน รู้สึกยังไงกับสิ่งที่เขานำเสนอมานะครับ โอเคในเรื่องของการที่มีคนนำเสนอมาเราก็รู้สึกขอบคุณมากๆ อยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถที่จะรับงานทั้งหมดที่เขาเสนอมาได้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องเลือก แล้วเราก็ต้องเลือกตามหัวใจตัวเองว่าเราชอบไหม เราทำมันได้ไหม มันยากเกินไปสำหรับเราไหม คือเมื่อทั้งหมดเรามีความอยาก ความที่จะโหยหางานต่างๆ เหล่านั้น มันจึงทำให้ทุกๆ เช้าที่เราตื่นมา มันจะตื่นมาด้วยความที่เราอยากจะทำงาน อย่ามีความรู้สึกว่าไม่อยากไปทำงานเลย ไปทำงานแล้วไม่มีความสุขเลย เมื่อเริ่มต้นแบบนี้แล้วมันเจ๊งทันทีครับ

องค์ประกอบสำคัญนำพาชื่อเสียงให้โด่งดัง

การที่เราจะทำยังไงให้คนชื่นชอบติดตาม และเป็นที่รักของแฟนละคร คือเราไม่รู้หรอกว่างานต่างๆ ที่เรารับมันจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ในหลายๆ เรื่องนะครับ แต่ผมคิดว่า โอเค มันไม่ใช่เราทั้งหมดหรอกที่ทำให้มันเกิดขึ้น เราเป็นเพียงแค่ส่วนนึงเท่านั้น ส่วนสำคัญคือองค์ประกอบต่างๆ ที่มารวมตัวกัน บท นักแสดง ช่างภาพ ผู้กำกับ ทีมงานเบื้องหลัง เสื้อผ้า โปรดิวเซอร์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ พอนำมารวมกันแล้วไปสู่ผู้บริโภคแล้วมันอร่อยต่างหากล่ะ ผมก็เลยได้ผลพลอยได้ไปด้วย (หัวเราะ) แล้วผมก็คิดว่าด้วยความที่ เวลาเราทำงานทุ่มเทสุดตัว เราก็อยากทำให้เรื่องนั้นๆ มันดูแล้วสมจริงสมจัง ที่ผ่านมาก็มีหลายเรื่องที่ทำให้ติดตาติดใจกับผู้ชม ผมก็ดีใจนะครับแล้วก็ต้องยกความดีให้หลายส่วนด้วยทั้งผู้จัดด้วย มารวมกันถือว่าเป็นจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แบบ

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์การมีชื่อเสียงเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี

การมีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันในแบบที่มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ การที่มีชื่อเสียงไม่ว่าใครก็ตาม มักอยู่ในที่สว่างคนมองเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอทำอะไรธรรมดาคนก็จะเฉยๆ ทำผิดนิดนึง ผิดไปจนวันตาย หรือทำอะไรดีหน่อยคนก็ยกย่องเดี๋ยวก็ลืม ซึ่งมันก็จะยากที่เราจะต้องอยู่บนความคาดหวังของผู้อื่นนะครับ ก็เลยคิดว่าในเรื่องพวกนี้ คือผมจะใช้ในสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ ทำให้ทุกคนมองเห็นในมุมของแง่การอนุรักษ์ที่ผมเป็น อย่างตรงนี้ถ้าใครสักคนหนึ่งไปบอกว่าเราต้องอนุรักษ์ ต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เพราะว่าสัตว์ป่าเหล่านี้มันจะหายไป

ผมว่าอย่างน้อยๆ กระบอกเสียงหรือว่าไมโครโฟนตัวนั้นต้องดังหน่อยคนถึงจะได้ยินนะครับ นอกนั้นก็เป็นสิ่งที่บังคับตัวเราเหมือนกันนะ เพราะว่าบางทีแล้วเราหุนหันพลันแล่น ใจร้อน อาจจะมีที่จะทำอะไรที่มันไม่ดี มันก็ฉุกคิดได้ว่า เฮ้ย! ถ้าเกิดเราทำไปแล้วมันจะส่งผลเสียกับเราอีกเยอะ มันก็เลยทำให้เรามีสติแล้วก็มีการยับยั้งชั่งใจได้ดีขึ้น (หัวเราะ) มันก็เป็นผลดีกับตัวเราเองนะครับ แต่บางทีแล้วถ้าเราอยู่บนความคาดหวังเยอะๆ อยู่บนความชุลมุนเยอะๆ มันก็เหมือนกับความอึดอัด ช่วงแรกๆ ผมไม่ชินเลย แล้วผมอึดอัดกับมันมาก ผมทำอะไรไม่ค่อยสะดวก ผมจะเดินไปไหนมันต้องติดขัดตลอดเวลา พี่ติ๊กเดี๋ยวก่อนขอลายเซ็น พี่เดี๋ยวก่อนขอถ่ายรูป คือเวลาผมไปเรียนจะเจอแบบนี้ตลอดทาง ณ ตอนนั้นผมคิดว่าทำไมเราต้องมาเจอขนาดนี้ด้วย เราจะทำชีวิตให้มันมีอิสรเสรีภาพไม่ได้เหรอ ผมก็ทะเลาะกับตัวเองอยู่เสมอมีทั้งด้านดีด้านชั่วนะครับ (ยิ้ม) ว่าเราจะเคลียร์ยังไงกับมันดีให้เราสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้และอยู่กับมันให้ได้

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผู้ไม่เล่นโซเชียล

ในอดีตจนถึงปัจจุบันทัศนคติ การทำงาน และการดำเนินชีวิตของผมไม่เปลี่ยนแปลง ผมว่าในบางอย่างเราก็อยากจะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ งานที่เราทำอยู่ และคนรอบๆ ข้าง ล้วนแต่ต้องผลักดันให้เราไปด้วยกัน อย่างตอนนี้ก็เป็นโลกของดิจิทัล มันก็มีเรื่องของการแข่งขัน การที่คนมีทางเลือกที่เยอะขึ้น และผมดีใจมากเลยครับ เพราะผมอยากเห็นตรงนี้มานานแล้ว แล้วมันจะทำให้เราไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ เพียงแต่ในสิ่งที่เราเป็นห่วงก็คือในรูปแบบใหม่ๆ ที่มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมอยากให้มันเป็นการพัฒนาในแบบที่ไปในทางบวกนะครับ ในเชิงที่สร้างสรรค์ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีโน่นนี่นั่น การควบคุมมันก็อาจจะน้อย เพียงแต่ว่าอันไหนที่มันดังหน่อยก็ถูกเพ่งเล็งเยอะ อันไหนที่ยังไม่ดังก็ยังทำได้อยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของการที่มันจะต้องมีคนที่มีความสามารถมาดูแลตรงนี้ได้ ผมจึงอยากให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในแนวที่สร้างสรรค์ แข่งกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่อยากให้ต้องมาแย่ง Like กัน ต้องแชร์กันเยอะๆ ผมว่าตอนนี้มันก็เลยกลายเป็นแข่งอะไรที่มันจับต้องไม่ได้ แต่เป็นเหมือนคะแนนเสียงของตัวเอง เรียกว่าถ้าทำในสิ่งที่ดีมันก็ดี แต่ถ้าทำในตัวอย่างที่ไม่ดีคนก็คล้อยตามไปในสิ่งที่ไม่ดีได้  ผมอาจจะเป็นนักแสดงคนเดียวที่ไม่ได้เล่นโซเชียล ผมไม่ได้เล่น Facebook ผมไม่ได้เล่น IG ครับ

ผมคิดว่ามันแล้วแต่มุมมอง สำหรับผมคิดว่าโซเชียลมันไม่สำคัญเลย ผมมองว่าการที่เราดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะสนใจใครหรืออะไร ใครอยากจะมีตัวตน ใครอยากจะโชว์อะไร คือผมไม่ได้อยากจะโชว์อะไรในหลายๆ อย่างของผม ตื่นเช้ามาก็ง่วงนอนจังเลย หรือว่านั่งหลับตามือเซลฟี่ฝันดีนะ คือผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น คือผมอยากจะเป็นคนที่โชว์ผลงานของตัวเองออกมา โอเคมันอาจจะมีมุมต่างๆ ของครอบครัวบ้าง เพราะว่าคนที่เป็นแฟนๆ ของเรา รู้สึกว่าเขาอยากจะเห็น ถ้าเกิดว่าเราปิดกั้นเกินไปมันก็กลายเป็นว่าทำไมหวงจังเลย ทำไมสัมผัสไม่ได้ แตะต้องยาก เราก็ต้องมีมุมน่ารักๆ ให้เขาเห็นว่า โอเคผมก็มีมุมของความเป็นพ่อ

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์

คำจำกัดความของ “ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ” พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย

ผมชอบใช้คำนี้ในกองถ่าย  ผมใช้คำว่า  “พร้อมตลอดเวลา”   คือเหมือนกับว่าเราเตรียมตัวมาสำหรับงานต่างๆ เมื่อคุณอยากจะให้เราทำงานหรือทำอะไรแบบนี้ครับ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่พร้อมก็จริง แต่เราก็ต้องหลอกตัวเองว่าเราพร้อม พอเราบอกพร้อมแล้วมันจะพร้อมนะครับ เหมือนกับว่าคำว่า “ พร้อมตลอดเวลา ”  เป็นเหมือนเครื่องดื่มเกลือแร่ของเรา เป็นยาชูกำลังของเรา ผมชอบคำนี้นะ

โรงเรียนแห่งธรรมชาติช่วยขัดเกลาจิตใจ

การทำงานตรงนี้ผมได้เรียนรู้อย่างหลากหลาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันทำให้เรานำมา แอพพลายด์ ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ในการเดินทางต้องมีการวางแผน อย่างน้อยๆ เราก็ต้องรู้ว่าเราจะไปเส้นไหนรู้จักแผนที่ รู้จักแพคกระเป๋า แรกๆ ก็อาจจะมีผิดถูก พอนานๆ เข้า มันจะเข้าใจว่าเราต้องการอะไร ต้องใช้รถแบบไหน การได้พบปะผู้คน การสอบถาม การไม่เข้าใจ การหลงทาง ได้เจอสิ่งที่เราไม่คาดคิด แล้วประสบการณ์ต่างๆ พอเราเดินทางไปหลายภูมิภาคมันแตกต่างกัน วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร ภาษา แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งมันก็เป็นอุปสรรคอย่างผมเข้าป่า ต้องเจอแมลง เจอทาก เจอยุง เจองู ต้องหลบ ต้องเลี่ยงยังไง ค่อยๆ เรียนรู้กันไป บางทีเหนื่อยต้องพักระหว่างทางไม่ถึงจุดหมาย บางทีเจอฝน ซึ่งพวกนี้มันจะทำให้เราอดทน มีความแกร่ง ในเรื่องของร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เวลาที่เราเจอกับปัญหากับการทำงานในเมือง เราก็จะมองมันว่าเป็นปัญหาที่เล็กๆ น้อยๆ เราเจออะไรมามากกว่านี้แล้ว หรือว่าถ้าเราเจอปัญหามาก เราก็จะคิดว่าเราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ เพราะว่าเราถูกเข้าโรงเรียนแห่งธรรมชาติใหญ่ๆ มาขัดเกลาจิตใจเราแล้ว ผมคิดว่าธรรมชาติทำให้เราใจเย็นขึ้น เป็นคนช่างสังเกตเพิ่มมากขึ้น ช่างแยกแยะ ฝึกหลายๆ อย่าง

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์หัวหน้าครอบครัวแบบธรรมชาตินิยม

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบความเป็นระเบียบวินัย ชอบการเคารพซึ่งกันและกัน ชอบความอบอุ่น ชอบที่จะเห็นในสิ่งที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ก็จะคอยดูแล สำหรับเรื่องลูก ถามว่าอยากให้เข้าวงการไหม อันนี้ก็แล้วแต่เขาเลยครับ ผมยังไงก็ได้ ผมเลี้ยงลูกแบบธรรมชาตินิยม ปล่อยให้เขาเป็นไปตามธรรมชาติของเขา แล้วเราก็เสริมให้เขา เติมให้เขา ส่วนเด็กจะมีพรสวรรค์ในรูปแบบไหน ถ้าเกิดเราเห็นได้เร็ว เราก็จะยิ่งส่งเสริมด้วยซ้ำไป จะเป็นในแบบไหนก็ได้ เราเติมให้เขาไป ไม่ใช่ว่าเขาถนัดซ้าย จะไปให้เขาถนัดขวามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เราจะคุยกันแบบใช้การเจรจาเยอะ อธิบายเยอะ หาเหตุผลให้เยอะ ผมคิดว่าการที่เราอธิบาย เขาจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ มันจะมีเหตุผลของมัน และอีกอย่างที่ผมจะไม่ทำเด็ดขาดคือผมจะไม่หลอกลูกในทางที่ผิด เหมือนที่พ่อแม่เราเคยหลอกเรา เช่น อย่าไปตรงนั้นนะเดี๋ยวจะมีตัวอะไรมากัด หรือว่า ตุ๊กแกกินตับ จะไม่หลอกเด็กด้วยวิธีแบบนี้แต่ผมจะบอกว่า ทำไมถึงไม่ให้ไปตรงนั้นเพราะว่ามันอันตราย มีสัตว์เยอะมีพิษนะ เดี๋ยวมันอาจจะมากัดได้ ผมจะบอกในความเป็นจริง

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์ล่าสุดที่กำลังออนแอร์ ในตอนนี้กับผลงานละคร “ คู่ซี้ผีมือปราบ ”

เป็นการร่วมงานอีกครั้งกับ คุณชาคริต แย้มนาม และ คุณหนุ่ม อรรถพร ธีมากร กับ พี่หนุ่ม เราเคยทำงานด้วยกันจากภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง เราได้อยู่แก๊งเดียวกัน แก๊งไบเล่ (หัวเราะ) เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว กับ พี่คริต ตอนนั้นผมเคยเล่นหนังเรื่องคนป่วนสายฟ้า ซึ่งเป็นหนังเรื่องที่ 2 ของผม

ในละคร “คู่ซี้ผีมือปราบ” ผมเล่นเป็นตำรวจ ร้อยโทมัด ในเรื่องก็สไตล์พระเอกเป็นตำรวจที่เก่ง แนวสืบสวนสอบสวนและจะมีบัดดี้ผมซึ่งเป็นผี แสดงโดย ชาคริต แย้มนาม แล้วจะค่อยๆ ไขว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงตาย จึงนำพาไปสู่คดีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง เป็นละครที่ทันสมัย และจะมีหลายๆ มิติ ซึ่งน่าจะตอบโจทย์กับผู้บริโภคได้ดี ทีมงานทุกคนตั้งใจทำงาน อยากทำงานให้ออกมาดีที่สุด ฝากติดตามด้วยนะครับ

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์ทำไมถึงตัดสินใจเล่นละครเรื่องนี้

หัวใจของเราไงครับ (หัวเราะ) แล้วก็พี่หนุ่มเขาเคยคุยกับผมหลายรอบแล้ว ผมก็ปฏิเสธไปหลายรอบแล้วเนื่องจากจังหวะของเราไม่ตรงกัน มาคราวนี้จังหวะของเราตรงกัน และผมกำลังรออะไรบางอย่างที่อยากเล่นเป็นแบบนี้ มานานพอสมควรแล้ว สิ่งที่พี่หนุ่มเขากำลังทำอยู่มันตอบโจทย์เรา เวลามันได้ตรงกัน ก็เลยได้มีโอกาสทำงานร่วมกันครับ

มาตรฐานของ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”

ผมมาตรฐานสูงนะ (หัวเราะ) คือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมอย่างเดียว อย่างที่บอกในการที่เราอยากจะเป็นคนที่มีมาตรฐาน ต้องสร้างตัวเองให้เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร มีระเบียบวินัย ต้องศึกษาในบทละครที่เรากำลังจะทำงานให้มันเยอะๆ ที่สุด สงสัยหรืออะไรก็ถาม เพราะฉะนั้นผมมีอะไรก็จะถามผู้กำกับหรือผู้ช่วยตลอด เขาก็จะปวดหัวกับผมเหมือนกัน (ยิ้ม)

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ติ๊ก เจษฎาภรณ์การแจ้งเกิดในวงการบันเทิงยุคปัจจุบัน

ผมว่าในตอนนี้ใครที่จะมองเห็นนักแสดงหรือศิลปินหน้าใหม่ มันง่ายมาก ทุกคนมีช่องทางในการสื่อสารของตัวเอง คือผมมันเข้ามาในแบบ เพียวๆ เลย ต้องทำให้เขาเห็นจริงๆ เริ่มจากค่อยๆ ทีละสเต็ป เดี๋ยวนี้ในโลกยุคนี้คนเราสามารถที่จะดังเปรี้ยงปร้างได้ในชั่วข้ามคืน ผมว่ามันเหมือนกับการเป็นนักกีฬา เรามักจะได้ยินคนพูดอยู่เสมอว่า “การเป็นแชมป์มันไม่ยากหรอก…แต่การที่เราจะรักษาแชมป์ มันยากยิ่งกว่าการที่เราจะเป็นแชมป์” เมื่อน้องๆ โด่งดังขึ้นมาแล้ว เป็นที่รู้จักแล้ว ก็จงรักษาคุณภาพมาตรฐานของตนเองให้ดี เพราะผมเชื่อว่า คำว่าคุณภาพ ยังตอบโจทย์และคนยังต้องการเห็นสิ่งนี้อยู่

การเดินทางที่ไม่สิ้นสุด

ในการเป็นนักแสดงถ้าจะบอกว่าตอนนี้ ที่ตรงนี้เราอยู่ในจุดไหน คงตอบไม่ได้ เพราะการเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด เรามีปรัชญายังไงที่ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต คือผมก็ตอบไม่ได้เพราะผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตสูงสุดแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นมันเลยอาจไม่มีเครื่องมือวัด เราอาจจะคิดได้ว่ามันดีสำหรับเราแล้ว แต่ทำให้มันดีกว่านี้ได้อีกไหม ถ้าจะทำให้ดีกว่านี้ก็ทำ อย่าทำให้ตัวเองผิดหวัง และอย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

Story : Gasinee S.

Photos : Ditsapong K.

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ ของ เดินตามรอยที่ไม่สิ้นสุดของเนวิเกเตอร์ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook