สัมภาษณ์ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบของมโนธรรม”

สัมภาษณ์ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบของมโนธรรม”

สัมภาษณ์ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบของมโนธรรม”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากนิตยสาร GM ฉบับเดือนมิถุนายน 2549

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความโดดเด่นอย่างหนึ่งของ GM ที่ยืนยงมาตลอด 20 ปี อยู่ที่บทสัมภาษณ์ หรือคอลัมน์ Interview

ผู้คนที่ปรากฏตัวในคอลัมน์ Interview ล้วนเคยพาคมคิดมาสู่หน้ากระดาษของ GM อย่างทรงคุณค่า และแหลมคมไปกับทรรศนะ การวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงตัวตนของพวกเขา ทำให้ขอบฟ้าของผู้อ่าน และผู้ทำหนังสือ ตั้งแต่นักสัมภาษณ์ ไปจนถึงบรรณาธิการ กว้างขยายใหญ่โตขึ้น จนบางครั้งเราก็เห็นโลกไม่เหมือนเดิมอีก

เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปี GM จึงจำเป็นต้องย้อนมองกลับไปในอดีต แล้วพาผู้คน 20 คน กับบทสัมภาษณ์แหลมคมของพวกเขากลับมานำเสนออีกครั้ง ทั้งหมดล้วนตัดตอนมาจากบทสัมภาษณ์ในอดีต บ้าง 5 ปี บ้าง 10 ปี และบ้างก็เฉียดใกล้ 20 ปี แต่ถ้าคุณได้ตั้งใจอ่านจริงๆ จังๆ คุณจะพบว่า ความแหลมคมไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปแม้สักนิด

และทั้งหมดนี้คือบทสัมภาษณ์ที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ของนิตยสารที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดเรื่องบทสัมภาษณ์!

หนึ่งในนั้นคือ บทสัมภาษณ์ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบของมโนธรรม

เขาเป็นอดีตผู้นำนักศึกษาและประชาชนยุค 14 ตุลาฯ 2516 ซึ่งก็เช่นเดียวกับคนยุคนั้นอีกจำนวนมาก ที่เข้าป่าไปจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เขากลับคืนสู่นาคร หลังจากร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย 5 ปีเต็ม ก่อนเนรเทศตัวเองไปเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ จนได้ดอกเตอร์กลับมาเมืองไทย ใช้ชีวิตนักวิชาการที่ยังคงเป็นแกนนำ และมีกิจกรรมอีกหลากหลาย ตั้งแต่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ไปจนถึงกลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย ที่มีบทบาทในช่วง 'พฤษภาทมิฬ' ตำแหน่งทางการราชการสูงสุดที่เขาได้รับคือ คณบดี คณะรัฐศาสตร์-ธรรมศาสตร์ อันหมายถึงการยอมรับเขากลับคืนสู่สังคมในระดับสูง ต่อไปนี้คือความคิดเห็นของเขา 2 ครั้ง ช่วงแรกจากการสัมภาษณ์ของ GM เมื่อปี พ.ศ. 2531 และช่วงหลังได้รับเลือกให้เป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2537

GM : คุณเคยเขียนถึงคนหนุ่มในยุคปัจจุบันว่า ประเทศชาติไม่สามารถคาดหวังอะไรจากเขาได้ คุณมองพวกเขาในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า
เสกสรรค์ : คุณต้องแยกแยะระหว่างสติปัญญาของพวกเขา กับนิสัยใจคอหรือวัฒนธรรมของพวกเขา คือเวลาที่เราพูดถึงคนหนุ่มสาว โดยส่วนใหญ่ที่สุดเราก็หมายถึงคนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นลูกหลานของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นพวกที่มีสติปัญญา ไม่ใช่คนโง่ แต่ผมว่าเขาถูกสังคมกล่อมเกลามา รวมทั้งครอบครัวเขาเองด้วย ในทิศทางที่น่าวิตกกังวลมาก เป็นทิศทางที่มุ่งเน้นแต่เรื่องของตัวเอง แล้วไม่เพียงมุ่งเน้นในเรื่องของตัวเอง ยังค่อนข้างฉาบฉวยกับชีวิต มันทำให้สติปัญญาเหล่านั้นไม่ได้รับการขัดเกลา หรือว่าได้รับการเสริมสร้างให้กลายมาเป็นศักยภาพในการทำงาน หรือการรับผิดชอบทั้งตัวเอง และทั้งสังคม เป็นชีวิตของลูกคนมีเงินที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามอกตามใจ แล้วบวกกับระบบการศึกษาในโรงเรียนที่ค่อนข้างจะเป็นการแข่งขันเอาชนะกัน ท้ายที่สุดพอมาถึงที่เขาเข้ามหาวิทยาลัย เขาเกือบจะไม่เห็นอะไรอย่างแท้จริง

GM : ระยะหลังคุณมักหวนคิดถึงคุณค่าของสังคมรุ่นพ่อรุ่นแม่ อย่างที่คุณเขียนถึงภาษิต รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
เสกสรรค์ : ไม่หรอก คำพูดประโยคเดียวมันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับความคิดผมเลย แต่ในการเขียนหนังสือ บางทีเราดึงจากตรงโน้นตรงนี้มาเพื่อที่จะพิสูจน์เรื่องอื่น อย่างเรื่องที่คุณโค้ดขึ้นมามันเป็นเรื่องของงานที่ผมเขียนช่วงปีใหม่ ผมกำลังพูดถึงวัฒนธรรมเก่าที่มันสลายตัวไป แต่มันไม่มีวัฒนธรรมใหม่มา แทนที่ของเก่าไม่จำเป็นจะต้องดีไปหมด บางอย่างควรเลิก รวมทั้งวัฒนธรรมไทยบางเรื่องต้องเลิก เพราะว่ามันไม่สามารถเอามาใช้ได้ในโลกยุคปัจจุบัน แต่การเลิกไม่ได้หมายความว่าเราเลิกแล้วว่างเปล่า เราควรจะต้องมีสิ่งที่ดีกว่ามาแทนที่

ปัญหาก็คือว่าวันนี้เราเลิกระบบพี่น้องแบบชุมชนท้องถิ่น แต่เราไม่มีความเสมอภาคแบบสมัยใหม่ เราไม่มีความสัมพันธ์ที่เคารพกฎหมาย ที่กฏหมายศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงเพราะเวลาชุมชนมันแตกร้าว มันก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันทั้งสังคม กฎหมายจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะมาแทนที่จารีตประเพณี คนมันจะได้ไม่ละเมิดล่วงเกินกัน แต่เราก็ยังค่อนข้างล้มเหลวที่จะทำให้การปกครองโดยกฎหมายเสมอหน้า รวมทั้งตัวกฎหมายเองหลายเรื่องก็ไม่ยุติธรรม สังคมเก่า หรือจารีตประเพณีแบบเก่ามันสิ้นสลายไปจากเงื่อนไขชีวิตสมัยใหม่ แต่เรายังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้ วัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องแค่ดูหนังฟังเพลง มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างมีปรัชญา มีหลักการ มีแบบแผน ไม่ว่าจะเป็นการกินการอยู่ ไปจนถึงรสนิยมทางศิลปะ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อตัวเองและส่วนรวม

คำว่าวัฒนธรรมมันกว้างในปัจจุบัน ผมว่าเด็กรุ่นหลังไม่มี จะเป็นตะวันตกก็ไม่ใช่ ฝรั่งมันทำงานหนัก มีจริยธรรมเรื่องการงานสูง เรื่องรับผิดชอบตัวเองสูง มันมาคู่กับเรื่องเสรีภาพ ของเราจะเอาเสรีภาพแต่ไม่เอาความรับผิดชอบ คนที่มีวัฒนธรรม จะต้องมีข้างในของตัวเอง สิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ มันรู้อยู่แก่ใจ ถ้าเราพลาด เราก็ยอมรับผลพวงของสิ่งที่เราทำในทางการเมือง เราดูต่างประเทศเขามีเรื่องไม่ดีหน่อยเขาลาออก ของเราอย่าว่าแต่ลาเลย ไล่ก็ไม่ออกใช่ไหม การขาดวัฒนธรรมเป็นเรื่องใหญ่ทำให้คนไม่มีหลักการในการมีชีวิตอยู่ ปรัชญาในการดำรงอยู่

GM : คุณปกป้องลูกชายจากสิ่งเหล่านี้อย่างไร
เสกสรรค์ : ผมขอสารภาพตรงๆ เลยว่าผมหมดปัญญา ในการเลี้ยงลูกผมวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องพวกนี้มากที่สุด บางครั้งก็ไม่ยุติธรรมกับลูก บางทีผมก็บ่นก็ว่า แต่ผมรู้เลยว่าอิทธิพลของพ่อแม่มันน้อยกว่าสังคมภายนอกไม่รู้เท่าไหร่ มันจะเกิดการหายไปของสายสัมพันธ์บางประการ ซึ่งในอดีตมันเคยโยงคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ไว้ ผมเองก็ไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าลูกผมจะต้องเป็นอะไร แต่ผมคิดว่าขั้นต่ำที่ผมพยายามให้เขา หนึ่ง, เป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ สอง, เป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอาเปรียบใคร และถ้าเป็นไปได้ ก็คือดูแลผู้อื่นได้ด้วย

GM : ครั้งหนึ่งพ่อของคุณเคยคิดอย่างนี้หรือเปล่า เมื่อคุณตัดสินใจไม่เป็นคนหาปลา
เสกสรรค์ : เขาไม่ได้คิดอย่างผม เพราะว่าทางเลือกระหว่างผมกับพ่อ มันเป็นทางเลือกในแนวดิ่ง พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีชีวิตดีกว่า พ่อแม่ผมเป็นคนจน ทางเลือกก็คืออยากให้ผมหลุดพ้นจากความจน อยากให้มีชีวิตที่มันลืมตาอ้าปากได้ เพราะฉะนั้น การที่ผมมาเรียนมหาวิทยาลัยมันไม่ใช่เป็นการเสียใจของพ่อแม่ มันเป็นการดีใจ ถึงแม้ผมจะไม่ไปออกทะเลกับพ่อ

แต่ว่าทางเลือกของลูกผมกับผมมันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า มันเป็นทางเลือกในแนวราบ คือเขากับผมก็คงฐานะไม่ต่างกันเท่าไหร่ เราก็เป็นคนชั้นกลางเหมือนกัน ผมพูดในประเด็นที่ว่า ความสามารถที่ผมมีอยู่มันไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้

ทำไมผมยกประเด็นนี้ขึ้นมา ก็เพราะชีวิตคนชั้นกลางมันสูญเสียสายใยที่พ่อแม่ส่งทอดทักษะในการดำรงชีพให้ลูกเต้า มันเป็นชีวิตที่ฝากลูกไว้กับสถาบันการศึกษามากเกินไป ซึ่งมองย้อนไปในแง่หนึ่ง ผมอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมทิ้งพ่อแม่มา ผมไม่ได้เป็นชาวประมง มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นการสูญหายไปของวัฒนธรรมเก่า แต่เรื่องนี้มันจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย ถ้าเราฝากลูกไว้กับโรงเรียนแล้วโรงเรียนมันดี สังคมมันดี สิ่งแวดล้อมต่างๆ มันดี ก็จะไม่มีความขัดแย้งเท่าไหร่

ความเป็นผู้ชาย ผมเองถือว่ามันมี 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือด้านชีววิทยา อีกอย่างคือด้านวัฒนธรรม ปัจจุบันสังคมเรา ผู้ชายไม่ต้องไปล่าสัตว์ตัดฟืน ไม่ต้องไปใช้แรงงานหนักเหมือนโบราณแล้ว ลักษณะองอาจห้าวหาญมันอาจจะลดไปบ้าง ผมก็ไม่ว่า แต่คอนเซ็ปต์ทางวัฒนธรรมว่าผู้ชายยุคใหม่ควรเป็นอย่างไรก็ยังไม่ชัด ไม่องอาจห้าวหาญ ไม่เป็นนายพราน ไม่เป็นนักรบ โอเค ไม่ว่ากันแล้วละ แต่ว่ายังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษไว้ได้ไหม ผมก็ไม่แน่ใจ

ผมเห็นผู้ชายอกสามศอกเห็นผู้หญิงถือของก็เฉย เห็นผู้หญิงยืนโหนรถเมล์ตัวเองก็นั่งเฉย อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งผมคิดว่าถึงแม้เราจะไม่ใช่สังคมประเภทเข้าป่าล่าสัตว์ หรือสังคมที่ทำการรบเหมือนสมัยอยุธยา แต่มันก็ยังเป็นสังคมที่ควรจะเหลียวแลเอื้ออาทรต่อผู้หญิง มันก็ไม่มี ผมเห็นนักศึกษาผู้ชาย หน้าตาดีๆ โตขึ้นมาเป็นชายหนุ่ม แต่มันดูแคบๆ เห็นแก่ตัวยังไงไม่รู้ ลักษณะของบุรุษเพศ มันหายไปแบบแทบจะสิ้นเชิง ไม่มีแพตเทิร์นที่ชัดเจน

GM : ดูเหมือนคุณจะซีเรียสกับเรื่องมิตรภาพ เรื่องความโกรธเคือง เป็นคนเจ็บจำนานและเจ้าคิดเจ้าแค้น
เสกสรรค์ : ไม่หรอก ปกติผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ ในโลกผมให้อภัยคนมาเป็นจำนวนมากๆ ทั้งๆ ที่โดยโทษกรรมแล้ว พวกเขาสมควรตาย แต่ผมเป็นคนซีเรียสในลักษณะของความคิดที่เกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับสังคม คือ หนึ่ง, ผมมีสมมุติฐานที่ไม่รู้ผิดหรือเปล่า อาจจะผิดทั้งหมดเลยก็ได้ คือคิดว่าชีวิตมันควรจะมีความหมายที่สูงส่งงดงาม สอง, ผมมีสำนึกว่ามนุษย์มันควรดูแลซึ่งกันและกัน

ทั้งสองประการมันมาบวกโยงเข้าหากันตรงที่ว่า แล้วตัวผมจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะมีความหมายที่ถูกต้องงดงาม และเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น เราเป็นนักเรียนรัฐศาสตร์ มันก็ครุ่นคิดเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องสังคมไป หลายๆ อย่าง ทางพระท่านว่าไปยึดถือยึดมั่น เมื่อโลกมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดเราก็เจ็บปวด เราก็รู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตไม่น่าอยู่ สังคมไม่น่าอยู่ ซึ่งถ้าเป็นคนไม่คิดมากก็จะเฉยๆ จุดนี้ผมยอมรับ

ผมเป็นคนไวต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่จอมปลอม ไวต่อความไม่จริงใจของคน ผมแขยง บางทีผมจะพูดอะไรแบบคนนึกไม่ถึงเยอะ กระทั่งหนี ผมพร้อมที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากกว่าที่จะมั่วสุมกับความจอมปลอม ผมเป็นคนอย่างนั้น บางครั้งผมนั่งอยู่คนเดียว มีคนบอกนั่งด้วยคนได้ไหม ถ้าผมไม่อยากให้นั่ง ผมก็จะบอกว่าไม่ได้ และผมพอใจที่จะนั่งอยู่คนเดียว

ถ้าเลือกได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผู้คน ผมอยากให้มันจริงแท้ เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน คือไม่จำเป็นต้องสนิทแน่นแฟ้น ส่วนที่สนิทก็สนิท อาจมีหลายระดับ ส่วนที่ไม่สนิทก็เป็นความสัมพันธ์ที่ห่างออกไป แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเข้าหากัน คุณไม่ได้ชื่นชมสิ่งที่ผมทำมาหนักหนา ทำไมคุณต้องไปพูดถึงมันเพียงเพราะคุณคิดว่ามันจะทำให้ผมโปรดปราน และคุณก็จะได้ขออย่างอื่น มันเป็นวิธีการค้าขาย ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีในการคบคน มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ดีกว่า

ผมเองไม่เอาอดีตเป็นเครื่องตีเส้นว่าจะคบหรือไม่คบคนนั้นคนนี้แต่ว่าจะดูเป็นบุคคลไปว่าใครน่าคบหรือใครพูดกันรู้เรื่อง ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม เป็นนักการเมือง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ หรือว่าคนทั่วๆ ไป เป็นเศรษฐีเราก็คบกับเขาได้ ในแง่ของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน เขาก็เปิดใจกว้าง จนแทบจะเรียกได้ว่า ถ้าไม่นับคนหยิบมือเดียวที่คิดอะไรซอยเท้าอยู่กับที่ โดยทั่วไปแล้ว ผมเข้าไปได้ทุกวงการ และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

GM :คุณเรียกทะเลเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วป่าเขาเป็นอะไรสำหรับคุณ
เสกสรรค์ : ในเชิงสัญลักษณ์นี้มันเป็นหลายอย่างนะ ทะเลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่วิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่โลกธรรมชาตินี้ผมค้นพบว่ามันใหญ่โตแล้วสะท้อนความยิ่งใหญ่ของเอกภพให้เราเห็น จนกระทั่งเราต้องเข้าหาด้วยความยำเกรง แล้วผมชอบก็คือเวลาผมไปยังที่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา เรารู้สึกตัวเรานิดเดียว ไอ้ความรู้สึกตัวเราเล็กนิดเดียวนี้มันปลดเปลื้องอะไรออกไปเยอะ ปลดเปลื้องความโอหัง ปลดเปลื้องความรู้สึกที่เราต้องไปแบกรับอะไรเยอะแยะ ตัวเราก็เท่านี้ อย่าได้คิดเลยว่า เราจะไปทำอะไรได้นักหนา
ขณะเดียวกันเมื่อเราคิดว่าเราตัวเล็ก การยอมรับผู้อื่น หรือยอมรับความบกพร่องของตัวเองมันง่ายขึ้น

ภูเขานี่ความรู้สึกบางครั้งเรารู้สึกอบอุ่น มันมีความเงียบขรึม แล้วก็ให้ความรู้สึกของผู้เฒ่าที่อยู่มาเป็นเวลานาน เวลาผมไปกินนอนบนภูเขาจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ รู้สึกอบอุ่น ออกทะเลบางทีผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ภูเขารู้สึกเหมือนกับเป็นบ้านช่องดั้งเดิมที่ญาติผู้ใหญ่คอยต้อนรับอยู่ เป็นสถานที่ที่สงบเงียบ

GM : คุณยังค้นหา Great Valley อยู่หรือเปล่า หรือพบแล้ว
เสกสรรค์ : มันเหมือนกับเรื่องสิทธารถะ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะไปแสวงหาหรือว่าตัวบุคคลที่คุณจะไปขอมาเป็นครู Great Valley มันอยู่ในใจ ถ้าเราสงบและมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ หรือมีความสามารถที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว ผมคิดว่านั่นคือความสำเร็จที่สุด เพราะจริงๆ แล้วเราไม่มีทางที่จะรู้ชัดว่า ภูมิประเทศของชีวิตมันจะคลี่คลายเป็นอะไรบ้าง สิ่งที่เราต้องพร้อมที่สุดคือจิตใจแบบนักเดินทางที่ไม่หวั่นกลัว

Great Valley อยู่ตรงไหนไม่สำคัญ สำคัญในใจพร้อมที่จะเผชิญเส้นทางทุกอย่าง ผมคิดว่าในระยะหลัง ถ้าไม่พบก็เกือบพบ ไม่ค่อยหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ไม่ค่อยฟูมฟายเรื่องโน้นเรื่องนี้ง่ายๆ ซึ่งหลายๆ อย่างเราได้มาด้วยการพยายามเข้าใจผู้อื่น พยายามเข้าใจโลก พยายามตัดตัวเองออก

ผมไม่ได้เคลมว่าผมบรรลุอะไร แต่หมายความว่าเราเย็นขึ้น ใจกว้างขึ้น ตัดตัวเราออกไปมากขึ้น คนเราจะเอาอะไรนักหนา โกรธกันเกลียดกัน ทะเลาะเบาะแว้งมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ถ้าเราคำนึงถึงว่าชีวิตอยู่บนโลกนี้ชั่วคราว ขณะที่เรายังหาสาระของการดำรงอยู่ไม่ได้แจ่มชัดเราจะมาห้ำหั่นอะไรกันนักหนา มันก็เลยทำให้ผมไม่ค่อยถือสาคน แต่มีบ้างที่รำคาญ ประเภทจุกจิกประจำวันอะไรอย่างนี้ เพียงเพื่อปัดๆ ไห้สิ่งที่มันรบกวนให้มันห่างออกไปเท่านั้น แต่อาฆาตพยาบาท ไม่มี

"คัดจากบทสัมภาษณ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จาก GM ปีที่ 2 เดือนมีนาคม 2531 และปีที่ 8 เล่ม 115 ปักษ์แรก เดือนกุมภาพันธ์ 2537”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook