วิ่งเปลี่ยนชีวิตทั้งเรื่องเรียนและน้ำหนัก จากติด F 23 ตัว กลับมาเรียนจบ

วิ่งเปลี่ยนชีวิตทั้งเรื่องเรียนและน้ำหนัก จากติด F 23 ตัว กลับมาเรียนจบ

วิ่งเปลี่ยนชีวิตทั้งเรื่องเรียนและน้ำหนัก จากติด F 23 ตัว กลับมาเรียนจบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ Sanook! Men ขอสร้างกำลังใจให้กับคนที่พยายามลดน้ำหนัก ด้วยนำเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่สมัยเรียนในมหาวิทยาลัยติดอยู่กับเกม อาหารขยะ เหล้า จนทำให้น้ำหนักตัวพุ่งไปถึง 125 กก. การเรียนก็ย่ำแย่จนติด F มากถึง 23 ตัว แต่เพราะการ "วิ่ง" ทำให้ปัจจุบันหนุ่มคนนี้ชีวิตดีขึ้น แถมจบมหาวิทยาลัยได้อีกด้วย

ผมควรจะเริ่มต้นจากไหนดี ? นี่คือคำถามจากตัวผมซึ่งในขณะนั้นน้ำหนักตัว 125 กิโลกรัม และให้กำลังใจกับตัวเองมาตลอดว่า ตัวผมยังดูดี ยังสมาร์ทแมน และยังมีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองอยู่เสมอ พูดไปก็เหมือนหลอกตัวเอง ยังใช้ชีวิตวนกับเหล้า เบียร์ บุหรี่ ของปิ้งย่าง และอาหารขยะ จนน้ำหนักจาก 52 ทะลุถึง 125 กิโลกรัมภายในช่วงเวลาเพียง 5 ปี มันไม่ได้ขึ้นมากซะหน่อย ยังดูดี ผมใช้คำพูดปลอบใจอยู่เสมอ แต่เมื่อมาถึงจุดที่คนจะคิดเป็นและเริ่มอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ผมเริ่มตั้งคำถามเมื่อตอนน้ำหนักตัว 125 กิโลกรัม

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 ผมได้เข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในตอนนั้นผมน้ำหนักตัว 52 กิโลกรัม ซึ่งผอมแห้งสุดๆ

ด้วยความที่ไม่ประสีประสาชีวิตมหาวิทยาลัย ผมจึงไม่ค่อยสนใจการเรียน และสนุกกับชีวิตที่ห่างไกลกับพ่อแม่ เที่ยว อยู่หอคนเดียว ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยพบเจอ มองไปทางไหนก็มีแต่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่พร้อมจะสนุกและเมาหัวราน้ำในทุกค่ำคืน ซึ่งมันเป็นอะไรที่สุดเหวี่ยงในขณะนั้น เวลาอยู่หอผมก็นั่งคุมทีมฟุตบอลด้วยเกมยอดฮิตอย่าง FM รึ CM เป็นประจำ ไม่คิดจะไปเรียน เข้าเรียนก็นับครั้งได้ เมื่อไม่สนใจการเรียน เกรดก็ตกเป็นธรรมดา ครั้นจะย้ายสาขาจากการสร้างบ้านไปเป็นออกแบบเฟอร์นิเจอร์ก็ทำไม่ได้ เพราะเกรดต่ำเรี่ยดินเกินไป ชีวิตผมพังยับ มืดมน ถ้าพ่อแม่รู้ว่าผมจะย้ายสาขาหรือเรียนไม่จบ ผมโดนต่อว่ายับแน่ๆ เอาวะ ช่างมันกินเหล้าดีกว่า ย้อมใจ ใครสนวะ

นานเข้าเมื่อผ่านไปสองปี ผมก็ขึ้นปีสองสถาปัตยกรรม มองดูเพื่อนๆทุกคนมีอนาคต พร้อมจะขึ้นปีสามอย่างมั่นใจด้วยสกิลสุดแน่น ตัวผมไม่ได้เข้าเรียน ไม่มีความรู้ เกรดต่ำ ช่างมัน แอบย้ายคณะมันเลยละกัน ไม่ต้องบอกพ่อแม่ เรียนไปก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร ย้ายคณะมันนี่หล่ะ เหมือนรีสตาร์ททุกอย่างให้มันกลับไปจุดเริ่มต้น การแก้ปัญหาสุดสิ้นคิดของผมก็ได้เริ่มต้น

ปี พ.ศ. 2551 ผมได้เข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาศิลปะ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แน่นอนพ่อแม่ผมจับได้ว่าผมเปลี่ยนคณะและถูกต่อว่าตามระเบียบ

“ ช่างมันดิ ได้เริ่มต้นใหม่โว้ยย ” ผมคิดแค่นี้จริงๆ แล้ววังวนเดิมๆ ของผมก็ตามมาหลอกหลอนเช่นเคย วนมันอยู่อย่างงั้น เนื่องจากผมชอบดนตรี มักจับกลุ่มกับเพื่อนๆน้องๆ เล่นดนตรีกันอยู่เสมอ

และในตอนนั้น DOT A ก็กำลังฮิตสุดๆ เล่นคืนข้ามวันกันทีเดียว ตกค่ำมาก็ดื่มเหล้ามันหล่ะครับ ตื่นเช้ามาผมก็ไม่ไปเรียนเช่นเคย ในคณะที่คนอื่นๆ เขาก็ไปเรียนตามปกติ ผมก็ขี้เกียจตัวเป็นขน เกรดก็ตกต่ำไม่ต่างจากตอนเรียนอยู่สถาปัตยกรรม วนเวียนกับเรื่องพวกนี้ เอาแต่นอน กินอาหารขยะ ชีวิตบัดซบน่าสมเพชจากการกระทำของตัวเอง จนสุดท้าย ร่างอัลติเมทของผมก็ถือกำเนิดขึ้น

เกรด 1.52 กว่าๆรึเปล่าผมจำไม่ได้ F 23 ตัวที่รอการสะสาง น้ำหนัก 125 กิโลกรัม

ปี พ.ศ. 2555 ตามสูตรของคณะศึกษาศาสตร์ 5 ปีจบในขณะนั้น น้องๆ ทุกคนพร้อมที่จะจบไปเป็นครูอย่างที่ตนเองหวัง ผมไม่อยากเป็นนะ แค่ลงๆ คณะไปเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เกรดผมครับ 1.52 กว่าๆ มั้งจำไม่ได้ F 23 ตัว กับร่าง 125 กิโลกรัม นี่แหละครับปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ผมจมกับความสิ้นหวัง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ขาดเหล้าขาดเบียร์ไม่ได้ ช่างมันดิ ดื่มให้ลืมโลก สุดเหวี่ยงกับชีวิต ค่อยแก้ปัญหาทีหลัง

อยู่มาวันหนึ่งก็คิดได้เองนะครับ น้องๆทุกคนเรียนจบ เริ่มมีการมีงาน ผมเป็นรุ่นพี่(ที่ซิ่วมา)ยังเรียนอยู่ แถมใช้ชีวิตเหมือนเดิม ร่างเน่าๆโสกังเห็นแล้วน่าสังเวชใจ จะเรียนจบไหม พ่อแม่เสียใจหรือเปล่า มองดูตัวเองในกระจก นี่กูมาไกลมากเลยนะโว้ยย ใบหน้าหยาบกร้านไม่มีอนาคตใดๆ ในชีวิต ปริญญามันก็ไม่ใช่จุดจบของชีวิตแต่มันคือการเริ่มต้นจริงๆ คำปลอบใจที่ใช้ในวงเหล้ามันไร้ค่าจริงๆ คำสรรเสริญเยินยอความเป็นเทพแห่งสุราไม่มีความหมายอะไร นอกจากพูดให้จบไปวันๆ พรุ่งนี้เช้าก็ลืม ถ้าไม่เปลี่ยนตอนนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอนาคตยังไง ถ้าจะเปลี่ยนตัวเองให้ทำในสิ่งที่ทำตรงกันข้ามทั้งหมดที่ได้ทำมา พออยู่กับตัวเองเยอะๆ มันก็คิดได้ครับ จริงๆก็แล้วแต่คนว่าจะเอาพลังด้านนั้น มาพัฒนาตัวเองหรือเอามาบั่นทอนให้ตัวเอง เอาวะลองดูซักตั้ง ผมจึงเลือกที่จะ วิ่ง ไปให้ไกลที่สุด ไม่ใช่วิ่งหนีปัญหา แต่เพื่อชะล้างสิ่งที่ตนเองได้ทำมา

พลังแห่งการวิ่ง ใจที่สู้ มันมีผลจริงๆครับ รวมถึง วิธีการต่างๆแบบเจาะลึกให้อ่านกันเลยนะครับ

ศาสตร์แห่งการวิ่งสำหรับผม ช่วงแรกของผม ช่วงแรกของการวิ่งเป็นไปอย่างยากลำบาก ผมไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก การหายใจ ร่างกายที่อ้วนฉุ เป็นปัญหาสำคัญในการวิ่ง ในระยะทางเพียงแค่ 500 เมตรกลับยาวไกลเหมือนข้ามจังหวัด แต่จำเป็นต้องฝืนวิ่ง เพื่อทุกอย่างจะดีขึ้นปลอบใจตัวเองใว้ สองเดือนแรกนั้นผมไม่ได้หยุดพักในการวิ่งซักวันๆละประมาณ 8 กิโลเมตร ผมใช้เวลาวิ่งร่วม 2 ชั่วโมง ฝืนทนวิ่งไป จนพบว่าร่างกายมันล้าสะสมแบบสุดๆ มันกรอบมันเหนื่อยที่ไม่มีวันหยุดพักเลย ส่วนเรื่องการทานอาหารนั้น ผมลองอดอาหารดูนะ กินน้อยๆ ถึงน้อยมาก สรุปคือมันไม่ไหวจริงๆครับ ไม่มีแรงงวิ่ง ไม่มีพลังงานขับเคลื่อน สรุปโดยรวมความเข้าใจผิดทั้งหมดในช่วงแรกของผมก็คือ

- ออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่งไม่มีวันหยุดพักเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย ร่างกายควรจะได้หยุดพักบ้าง

- การอดอาหารในการลดน้ำหนักคือการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง ไม่มีแรงขับเคลื่อน

ถามว่าน้ำหนักลดมั้ย ลดครับ ลดลงมากๆ ประมาณ 10 กิโลกรัมเห็นจะได้ แต่สุขภาพสุดจะแย่เลยครับ มันไม่ไหว ไม่สดชื่น ไม่เวิร์คผมมองถึงการปรับเปลี่ยนเพื่อผลระยะยาว

เริ่มปรับเปลี่ยน ผมเริ่มที่จะวิ่งด้วยพักด้วย หนึ่งอาทิตย์จะวิ่งสองพักหนึ่งหรือบางทีสามวันพักหนึ่ง อาหารการกินเมนูแนะนำของผมคือปลาทูปิ้งครับ เนื้อแห้ง กินคู่กับผักสดเลย เซ็ทแฮปปี้มีลชุดนี้ซื้อในตลาดใกล้ๆบ้านตกประมาณ 40-50 บาทครับ ได้สารอาหารที่ครบถ้วน รวมถึงถ้าเบื่อๆหน่อยก็ทานสุกี้น้ำตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไป

เรื่องของการวิ่งต้องใจเอาจริงๆ ครับ การหายใจรวมถึงสเต็ปการออกตัววิ่งจังหวะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องเรียนรู้ผ่านการวิ่งในหลายๆชั่วโมง ประสบการณ์เหล่านี้จะหล่อหลอมให้คุณรู้ถึงจังหวะ การก้าวเท้า การหายใจโดยอัตโนมัติ มันจะเรียนรู้ของมันเองครับ

ระยะเวลาผ่านไปช่วงกลาง ผมเริ่มเบื่อกับอาหารที่กินแต่เมนูเดิมๆ มันมีใครที่จะทานอาหารเดิมๆ คลีนๆ ได้ตลอดชีวิตหรอกครับ เราเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่คนเงินถุงเงินถังที่จะทานอาหารที่มีประโยชน์ผ่านการคัดสรรได้ตลอด ดังนั้นมันก็ต้องมีเมนูตามสั่งธรรมดา มีขนมขบเคี้ยว มีการทานอาหารขยะอยู่บ้าง เพื่อเติมเต็มความสุขในชีวิต ผมเริ่มปรับไปทานอาหารตามสั่งธรรมดาตามมีตามเกิดแหล่ะครับ จำพวกกระเพราหมูกรอบ ไข่เจียว อะไรที่มันธรรมดา และไปเน้นที่การออกกำลังกายเลย เรื่องเหล้าเรื่องเบียร์นี่ปรับไปเดือนละครั้งสองครั้ง มันเริ่มไม่อยากของมันเองครับ เรื่องการเรียนของผมก็กลับมาตั้งใจสู้ใหม่พยายามไปเรียนร่วมกับรุ่นน้องในทุกๆวัน แก้ทุกเกรดที่ติด F กระตือรือร้น เพราะเมื่อเริ่มอยู่คนเดียว มันมีเวลาทบทวนอันไหนเคยผิดพลาด ก็ไม่นำกลับมาทำร้ายตัวเอง ไม่มีใครที่จะเหยียบตะปูเพื่อให้รู้ว่ามันเจ็บหรอกครับ เพราะประสบการณ์ของแหลมอื่นๆ มันสอนเราเองว่าถ้าเหยียบละมันต้องเจ็บแน่ๆ

การวิ่ง เลือกรองเท้าดีๆทนๆซักคู่นะครับ ใจต้องสู้นะครับ ร่างกายค่อยมันจะเริ่มมาเอง ปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรประจำวันยิ่งดี ปี 2556 เมื่อเริ่มมั่นใจผมจึงลองลงขอนแก่นมาราธอนในระยะทาง 20 กิโลเมตรลองดู ต่อจากนั้นปีต่อมาผมลงในระยะทาง 40 กิโลเมตร ซึ่งทุกอย่างมันก็ผ่านไปด้วยดี

ผมเริ่มสนุกกับการวิ่ง มันเหมือนกับยาเสพติดที่สุดจะบรรยาย เวลาเราวิ่งตามเป้าหมายในทุกๆวัน ร่างกายจะรู้สึกดีมาก สดชื่น เหมือนเป็นคนใหม่ในทุกๆวันที่วิ่งครับ

สรุป
- โยนตาชั่งทิ้งไปเลยครับ สังเกตรูปร่างรวมถึงมวลกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนไปของเราดีกว่า อย่าให้เลขบนตราชั่งมันบั่นทอนตัวเรา บางคนออกกำลังกายมาเยอะ น้ำหนักไม่ลด เพราะอาจจะเปลี่ยนเป็นมวลกล้ามเนื้อแทน
- ใจต้องสู้ครับ ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ ตัวเราทำเราได้ ใช้ชีวิตเดิมๆไร้สาระ มันคงไม่เป็นผลดี
- อาหารการกิน ไม่มีใครทานอาหารคลีน ถูกสุขลักษณะได้ตลอดชีวิตครับ กินให้ครบสามมื้อออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4 ครั้งเป็นอย่างน้อย
- มองการออกกำลังกายให้เป็นลักษณะของการทำตลอดชีวิต ไม่ต้องมีการกำหนดเป้าหมาย ฉันจะผอมในหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี อย่าไปกำหนดเป้าหมายแบบนั้น ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันเป็นเรื่องปกติครับ
- ยาลดน้ำหนักไม่มีจริงครับ ไร้สาระ (ผมไม่เคยใช้ยาลดน้ำหนักและไม่สนับสนุนด้วยครับ)
- สเต็ปการวิ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตัวบุคคล ต้องผ่านการเรียนรู้ด้วยตัวของคุณเอง
- วิ่งตัวคนเดียวเลยครับ อย่าชวนเพื่อนไปมันเป็นตัวถ่วงกัน

ปี พ.ศ. 2558 ผมเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ย 2.01 ด้วยระยะเวลาเกือบ 10 ปีในรั้วมหาลัย ผมมีความสุขกับการวิ่ง และการได้เริ่มทำงานในโลกชีวิตจริง ผมใช้หลักเดียวกันกับการวิ่งนะครับ มีวินัยและอดทน พอได้วิ่งแล้วมิติต่างๆในชีวิตคุณจะได้เรียนรู้จากหยาดเหงื่อแรงกายที่เราเสียไป "ลองวิ่งแล้วชีวิตจะเปลี่ยน" ครับ

ปัจจุบัน ผมวิ่งในทุกวันและถ้ามีการแข่งขันผมก็จะพยายามเข้าร่วม ผมขาดการวิ่งไมได้ น้ำหนักก็จะอยู่ใน 70 กิโลกรัมนี่หล่ะครับ นอกจากวิ่งก็มีเล่นเวทช่วงบนบ้างแต่ไม่หนักเท่าวิ่ง และทำธุรกิจส่วนตัวค่อยๆขยับขยาย มองให้เป็นเรื่องท้าทายในชีวิต อย่าจมปลักกับมันมาก ไม่มีเวลาเสียใจบนโลกใบนี้นานพอ ต้อง recover ให้เร็วที่สุดครับ

สารร่างปัจจุบันครับ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : Kirov sportswear 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook