“ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นธรรมประจำใจ”…เอ – พศิน เรืองวุฒิ

“ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นธรรมประจำใจ”…เอ – พศิน เรืองวุฒิ

“ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นธรรมประจำใจ”…เอ – พศิน เรืองวุฒิ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อเอ่ยถึงซูเปอร์ฮีโร่หรือยอดมนุษย์ทั้งหลาย คนส่วนใหญ่มักจะจินตนาการถึงภาพของคนที่มีพลังเหนือมนุษย์ ซึ่งโลดแล่นอยู่ในหนังสือการ์ตูนหรือในหนังในละครและไม่มีวันจะเป็นจริงได้

แต่ สำหรับผม (เอ – พศิน เรืองวุฒิ) กลับเชื่อว่าคนทุกคนมีความเป็นยอดมนุษย์อยู่ในตัวกันทั้งนั้น ถ้ารู้จักนำพลังกายพลังใจมาใช้ในทางสร้างสรรค์ ใช้เพื่อทำความดีเพื่อคนอื่นๆ ในสังคม รู้จักทำหน้าที่ของตัวเองทุกบทบาทให้ดีที่สุด แค่นี้ผมคิดว่าคุณก็สามารถภูมิใจในตนเองได้แล้ว และสามารถจะบอกเด็กรุ่นหลังๆ ได้ว่า ยอดมนุษย์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่เป็นเรื่องของธรรมะประจำใจที่ควรปลูกฝังไว้ในจิตสำนึกของทุกคน

“คนดี…ปิดทองหลังพระ”
ฝัน ในวัยเด็กของผมคือ การได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ ได้ผดุงรักษาความยุติธรรม แต่เมื่อโตขึ้นผมกลับเป็นนักแสดงที่ได้รับบทบาทที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักใน ฐานะ “ตัวร้าย” แม้ชีวิตจริงกับบทบาทการแสดงของผมอาจแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากทั้งสองอย่างคือ คนทำดี ได้ดีแน่นอน ส่วนคนทำชั่วก็ต้องได้รับผลกรรมของตัวเอง

ผมอยู่ในวงการบันเทิงมา ประมาณ 25 ปี อาจจะถือว่าไม่มากนัก เมื่อเทียบกับนักแสดงอาวุโสท่านอื่นๆ ที่อยู่ในวงการมานานกว่าผม แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมทำหน้าที่นักแสดงอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ และรักอาชีพนี้ที่สุด ผมรับไม่ได้กับคำว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เพราะผมคิดว่าวงการนี้ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าที่ใครจะมาใช้คำพูดนี้ อาชีพนักแสดงคุณต้องให้ใจ ไม่ใช่อยากจะกอบโกยแค่ไหนก็โกย หรือเข้ามาเพื่อจะได้รีบออกไป ถ้าคิดอย่างนี้อย่าเข้ามาเลยดีกว่า ผมเคยคุยกับดาราที่เป็นดาวค้างฟ้าทั้งหลาย เขามองว่าอาชีพนี้สามารถทำไปได้จนกว่าคุณจะตาย มีที่ว่างให้คุณเสมอ ไม่ว่าจะมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ามากแค่ไหน ถ้ารู้จักวางตัวให้เหมาะสม เคารพการทำงานของคนอื่น มีระเบียบวินัย รู้จักมีสัมมาคารวะ ก็อยู่ได้ครับ

ผมอาจไม่ได้เป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัลอะไร แต่ผมเชื่อในเรื่องของการทำความดี เชื่อว่าคนดีนั้น “ปิดทองหลังพระ” ทำดีไม่ต้องหวังผลถ้าอยากให้โลกรู้ก็ปิดทองหลังพระเยอะๆ ทำความดีมากๆ เดี๋ยวทองก็ล้นออกมาให้เห็นข้างหน้าเอง
คำพ่อสอน “คลายเชือกทีละปม แก้ปัญหาไปทีละอย่าง”

ผมเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ มีคุณปู่เป็นคุณพระรุ่นสุดท้าย ชื่อ คุณพระจำนงค์ทำงานด้านกฎหมาย เมื่อก่อนนามสกุลของตระกูลผมคือ “เนติวุฒิ” ตอนหลังได้รับพระราชทานเป็น“เรืองวุฒิ” ส่วน คุณพ่อ (เรืองนาม เรืองวุฒิ) หลังเรียนจบกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็มาเป็นนักข่าวบันเทิงรุ่นแรกๆ ของเมืองไทย และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมกันก่อตั้งรางวัลตุ๊กตาทองซึ่งเป็นที่รู้จักกัน ทุกวันนี้

คุณพ่อใช้นามปากกาว่า “หนุมาน” “หนูแดงวัดตรี” แล้วก็“เอราวัต” ซึ่งชื่อหลังนี่แหละที่กลายเป็นชื่อจริงของผมในเวลาต่อมา ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนเป็น “พศิน” อย่างในปัจจุบัน
ด้วยความที่ผมชอบยอด มนุษย์อย่างแบทแมน ซูเปอร์แมน อุลตร้าแมนมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อก็จะสอนว่า คนเก่งต้องเป็นคนดีและต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดด้วย การเป็นฮีโร่ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องดีด้วย รู้จักใช้พลังของตัวเองช่วยเหลือคนอื่น

นอกจากนั้นท่านยังสอนว่า ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเราก็เหมือนกับเชือกที่ผูกกันเป็นปม ถึงแม้จะยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเราคลายไปทีละปมก็จะแก้ไขไปได้

คุณพ่อคุณแม่ของผมไม่ใช่คนช่างสอน แต่จะเลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คนคือผม น้องสาว และน้องชายให้รู้จักคิด ตัดสินใจด้วยตัวเอง และให้ความไว้วางใจว่า “ลูกทำได้” เท่านี้ผมก็คิดว่าเพียงพอแล้วที่จะทำให้เราไม่ทำตัวนอกลู่นอกทาง เพราะอย่างน้อยๆ ก็คิดได้ว่า เมื่อท่านเชื่อมั่นในตัวเรา เราก็ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวังไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

อดีตดาราเด็กยุคเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์

ความจริงแล้วก่อนที่ผมจะมาเป็นนักแสดงอย่างทุกวันนี้ สมัยยังเด็กคุณพ่อของผมซึ่งเป็นนักข่าวบันเทิงได้ผลักดันให้เข้าวงการ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เป็นรุ่นก่อนน้องตูมตาม (วศิน มีปรีชา) โดยแสดงภาพยนตร์เรื่อง “สองเรา” ที่มี คุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ เป็นนางเอก

การที่ได้เข้าวงการบันเทิงทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตกว่าวัย รู้จักหน้าที่ตั้งแต่เด็ก บางครั้งต้องตื่นตีหนึ่งตีสองเพื่อไปถ่ายหนัง ถ่ายละครถ่ายโฆษณาตามต่างจังหวัด ใจจริงตอนนั้นไม่ชอบหรอกครับ แล้วก็สงสัยด้วยว่าทำไมเราต้องไปเล่นเป็นเพื่อนคนโน้นคนนี้ เรียกว่าทำไปด้วยความไม่เข้าใจมาตลอด

นอกจากนั้นการเป็นดาราเด็กในยุค นั้นซึ่งเป็นยุคที่เด็กไทยยังไม่ค่อยกล้าแสดงออก ค่อนข้างเรียบร้อยและขี้อาย ก็ทำให้ผมกลายเป็นที่สนใจของคนอื่น แถมบางครั้งก็ทำอะไรไม่เหมือนใคร เช่น จำเป็นต้องไว้ผมยาวกว่าเพื่อนในโรงเรียนเพราะต้องแสดงละคร หรือบางครั้งติดถ่ายละครก็ต้องมาขอสอบทีหลัง การเป็นดาราเด็กในยุคนั้นของผมจึงกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเครียด เพราะไหนจะเรียน ไหนจะต้องแสดงบทบาทนั้นบทบาทนี้อยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งอายุ 12 ปี ผมจึงขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่เพื่อเรียนหนังสืออย่างเดียว ในขณะที่ดาราวัยรุ่นอย่างมอส – ปฏิภาณ ปฐวีกานต์และดาราวัยรุ่นคนอื่นๆ กำลังเริ่มโด่งดัง

ผมเรียนโรงเรียนวัดใกล้บ้าน ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ทำให้ผมเกิดความคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปเรียนโรงเรียนที่เก็บค่าเทอมแพงๆ ก็ได้ เพราะโรงเรียนวัดก็มีครูดีๆ ตั้งมากมาย ที่สำคัญ เราจะเก่งหรือดีแค่ไหนก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่ที่สถาบัน ส่วนช่วงมัธยมปลายผมชอบเล่นกีฬา เป็นนักชกมวยสมัครเล่น ได้รับเหรียญเงินจากกรมพละมาหนึ่งเหรียญ

หลังจากนั้นผมเลือกเรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต คณะศิลปกรรมเอกอินดัสเทรียลดีไซน์ เกี่ยวกับการออกแบบในเชิงอุตสาหกรรม เช่นออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของต่างๆ

ชีวิตช่วงนี้ของผมดูเหมือนจะหันเหออกมาจากวงการบันเทิงโดยสมบูรณ์แล้ว แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อผมเรียนจบปริญญาตรี ความคิดที่ว่าอยากเป็นนักแสดงอีกครั้ง อยากแสดงเป็นคนอื่น อยากเป็นคนนั้นคนนี้ที่มีทั้งดีและร้ายก็แวบเข้ามา

แต่คราวนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนสมัยเป็นเด็กอีกแล้ว เพราะไม่มีใครรู้จักผมอีกต่อไป ผมต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่หมด ส่งประวัติให้เขาดูเขาก็ไม่สนใจ ต้องไปทดสอบการแสดงกว่า 50 งาน ไม่มีใครสนใจว่าผมเคยเป็นดาราเด็กมาก่อน แต่เขาสนใจว่าผมจะแสดงบทที่เขาให้แสดงตอนนี้ได้หรือเปล่าเท่านั้น

ผมต้องแสดงเป็นตัวประกอบพูดไม่กี่ประโยค บางครั้งเห็นแค่เท้าก็มี ได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้างอยู่ 4 ปีเต็มๆ ก่อนจะแจ้งเกิดอีกครั้งอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อนจากบทของตำรวจที่ฆ่าพระเอกในหนังเรื่องฟ้าทลายโจร

การกลับมาแสดงครั้งแรกของผมเป็นการเล่นที่แข็งทื่อมาก แต่บังเอิญเป็นบุคลิกที่ตรงกับเรื่องราวในเรื่องที่เป็นหนังย้อนยุค ต้องเลียนแบบท่าทางของดาราสมัยก่อน ทำให้ผมแจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชีวิตในวงการบันเทิงคนภายนอกอาจมองว่าสบาย สวยหรู แต่ความจริงแล้วบางครั้งเราก็อาจพบเจอกับเรื่องราวที่ทำให้เสี่ยงตายได้เหมือนกัน


ถึง “ร้าย” ก็ร้ายอย่างสร้างสรรค์

หลังจากเริ่มมีชื่อเสียงจากหนังเรื่องฟ้าทลายโจร ผมก็ได้รับงานจากช่องต่างๆ ค่ายต่างๆ มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่อง 5 ของคุณบอย – ถกลเกียรติ วีรวรรณ ช่อง 3 ของคุณจิ๋ม – มยุรฉัตร เหมือน-ประสิทธิเวช และผู้จัดท่านอื่นๆ อีกมากมาย
ด้วยแววตาท่าทางของผมทำให้ส่วนใหญ่ได้รับบทผู้ร้าย ทุกครั้งที่ได้รับบทนี้ผมแสดงเต็มที่ ไม่กลัวว่าคนจะเกลียด เพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นการแสดง และตัวจริงของผมก็แตกต่างจากบทที่ได้รับอย่างสิ้นเชิง

แม้ผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมไม่ชอบเรื่องท้าตีท้าต่อย ในชีวิตนี้นับได้เลยว่าไม่เคยมีเรื่องกับใคร ถ้าจะชกกับใครก็เป็นการชกบนเวที สมัยเป็นนักมวยสมัครเล่นเท่านั้น ส่วนบทตัวร้ายที่ผมได้รับนี้ผมมองว่าการเป็นนักแสดง เราสามารถที่จะเลวและร้ายได้อย่างสร้างสรรค์ คือร้ายเพื่อให้คนอื่นได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าท้ายที่สุดแล้วจุดจบของคนที่ทำความชั่วนั้นไม่มีใครได้ดีเลยสักคน

แต่ปัจจุบันบทที่ผมคิดว่าต้องระมัดระวังในการนำเสนอสู่เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่คือ บทของพระเอกที่ชอบข่มขืนนางเอกหรือจับนางเอกขังมัดโซ่ เพราะ คนที่ทำตัวไม่ดีแล้วได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระเอกผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตราย

นอกจากนั้นผมก็เป็นนักแสดงที่ไม่เลือกบท เพราะคิดว่าการที่ผู้จัดแต่ละท่านติดต่อเรามาแสดงนั้นคงมีการกลั่นกรองคัดเลือกจากทีมงานเรียบร้อยแล้วว่าเราเหมาะสมกับบทนั้นๆ นักแสดงที่ดีไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเล่นหรือไม่เล่นบทไหน เพราะหากวันหนึ่งเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปแล้วคุณเลือกบทไม่ได้ ตอนนั้นคุณจะลำบาก เพราะฉะนั้นต้องยึดถือคำว่า “งานเลือกคุณ ไม่ใช่คุณเลือกงาน”

ดารารุ่นก่อนอย่างคุณหมู – ดิลก ทองวัฒนา หรือคุณสะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ ผมถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนในวงการบันเทิง เพราะท่านเหล่านี้มีทัศนคติและประสบการณ์มาสอนเราว่า “การเป็นนักแสดงไม่ใช่ดารา” นักแสดงต้องทำตามบทบาทหน้าที่ อย่ามาเป็นดาราที่ใครสัมผัสไม่ได้ ใครขอถ่ายรูปก็ทำหน้าบึ้งตึง แต่ต้องระลึกว่าถ้าเราไม่ทำอาชีพนี้ก็ไม่มีใครสนใจเราหรอก นอกจากนั้นอาชีพนี้มีความไม่แน่นอน อย่าคาดหวังอะไร อย่าไปยึดติด ชีวิตคือความไม่เที่ยง วันหนึ่งสังขารของเราก็ต้องโรยรา

ดังนั้นการทำงานทุกวันนี้ สิ่งที่ผมยึดถือคือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แสดงสุดความสามารถในทุกบทบาทที่ได้รับและตรงต่อเวลาส่วนใหญ่ผมจะไปก่อนเวลานัดหมายประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเสมอ เพราะผมไม่อยากเป็นภาระของทีมงานหรือทำให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะผม เกือบพิการเพราะเอฟเฟ็คท์

บทบาทที่ผมเล่นบางครั้งก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นกันครั้งหนึ่งในเรื่อง สืบรักรหัสลับ ผมเล่นบทของคนที่ทำงานให้รัฐบาลซึ่งได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แล้วหลังจากนั้นจะมีคนร้ายมายิงผมที่เตียง

ทีมงานจัดแจงฝังเอฟเฟ็คท์ไว้ที่หลังของผม ตอนแรกเราซ้อมบทนี้กันเป็นสิบๆ รอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่เมื่อถึงเวลาแสดงจริง เกิดความผิดพลาด เอฟเฟ็คท์ระเบิดผิดจังหวะ แรงจากระเบิดทำให้หลังของผมกลายเป็นรูโหว่ขนาดเท่าลูกเทนนิสครึ่งลูก คุณหมอที่ให้การรักษาบอกว่าอีกนิดเดียวก็อาจพิการได้ เพราะอยู่ใกล้กับเส้นประสาทที่สำคัญ

จากเหตุการณ์นี้ผมไม่ได้โกรธหรือคิดโทษใคร แต่ผมกลับได้แง่คิดว่า ชีวิตคนเราสั้นนิดเดียว ไม่ต่างกับชื่อของเราที่ขีดเขียนลงไปบนหาดทราย คลื่นซัดมาทีเดียวก็จางหาย ชีวิตก็จบสิ้นได้ง่ายๆ ดังนั้นเราต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท โดยเฉพาะผมซึ่งยังต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผมอยากดูแลเอาใจใส่ท่านให้ดีที่สุด รักท่านให้เหมือนกับที่เรารักตัวเอง ที่สำคัญ ผมไม่คิดว่าการโอนเงินให้ท่านแสนหนึ่งจะมีค่ามากไปกว่าโทรศัพท์ไปหาท่านหรือไปเยี่ยมท่านด้วยตัวเอง
ความรักความเข้าใจจากคนในครอบครัวทำให้ชีวิตของผมในแต่ละวันมีพลัง รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร ดังนั้นต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ห้ามตาย ห้ามป่วยครับ


ศิลปะน้อมนำใจเข้าสู่ธรรม

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าวัด เพราะไม่ชอบเมรุ ไม่ชอบเสียงพระสวด แต่พอโตขึ้นผมกลับชอบหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในหลักกาลามสูตรที่ทรงสอนว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ อย่าเชื่อเพราะคิดว่าเขาเป็นครู อย่าเชื่อเพราะเขาว่าต่อๆกันมา แต่ธรรมะเป็นเรื่องมีเหตุมีผล คนทุกคนสามารถค้นหาความจริงได้ด้วยตัวเอง

ความสนใจในเรื่องธรรมะของผมเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังด้วยการไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิตามวัดต่างๆรวมทั้งการที่ผมสนใจวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ผมนำความรู้ทางด้านนี้มาใช้ในการวาดรูปพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ทั้งสมาธิและได้ช่วยเหลือสังคมไปในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีองค์กรการกุศลต่างๆ ขอรูปวาดของผมเพื่อนำไปประมูลหารายได้ เช่น สำนักพิมพ์ DMG และ DC. Comic ของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย สาวิกาสิกขาลัยของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

นอกจากนั้นความรู้ทางด้านศิลปะที่ผมมีก็ทำให้ผมได้ช่วยออกแบบเหรียญรูปพระเอกาทศรถเพื่อนำไปมอบให้แก่ทหารที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งได้ทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมร่วมกับคุณต้น -จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ และดารานักแสดงท่านอื่นๆ ในโครงการ“Sharing Little Project” ด้วยการนำภาพถ่ายดารามาทำเป็นโปสต์การ์ดแล้วนำไปจำหน่ายเพื่อหารายได้มอบให้มูลนิธิหรือบุคคลที่ทำงานเพื่อสังคม โดยงานนี้ผมรับทำโปสเตอร์เพื่อประชาสัมพันธ์ และติดต่อประสานงานต่างๆ

แม้การทำบุญด้วยวิธีนี้จะเหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับผม สิ่งนี้ให้ผลทางใจ ให้ความภาคภูมิใจ อิ่มเอมใจกลับมาไม่รู้กี่ร้อยเท่า

ในอนาคตข้างหน้า นอกจากการทำหน้าที่ลูกที่ดี นักแสดงที่ดีแล้ว ผมยังอยากทำงานช่วยเหลือสังคมเท่าที่ความรู้ความสามารถและเท่าที่กำลังกายกำลังใจจะอำนวยอีกด้วย

สำหรับผมซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้เมื่อวาระและโอกาสนั้นมาถึง อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำหรือไม่ทำเท่านั้นครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook