เราเจอกันทุกวันในตอนตี 2 ประสบการณ์นอน รพ. ที่ไม่มีวันลืม

เราเจอกันทุกวันในตอนตี 2 ประสบการณ์นอน รพ. ที่ไม่มีวันลืม

เราเจอกันทุกวันในตอนตี 2 ประสบการณ์นอน รพ. ที่ไม่มีวันลืม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยถูกถามด้วยประโยคที่ว่า เคยเห็นผีไหม? ประสบการณ์ของเราที่จะนำมาให้ทุกคนอ่านนี้ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เราเห็นจะใช่ผีหรือไม่ หรือเป็นแค่สิ่งที่เราคิดไปเอง แต่ทุกครั้งที่เราถูกถามว่าเคยเห็นผีหรือเปล่า มันก็จะมีอยู่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของเรา

ย้อนกลับไปในช่วงที่เราอายุประมาณ 12 ปี จบ ป.6 กำลังจะขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วันที่ 1 เมษายน วันนั้นเราจำได้ดี ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ลูกพี่ลูกน้องของเรา ได้ชวนกันขี่รถมอเตอร์ไซต์ออกไปซื้อบะหมี่เกี๊ยว เส้นทางถนน ด้วยความที่เป็นต่างจังหวัดก็คงจะรู้กันว่าไฟข้างถนนไม่ค่อยจะมี ข้างทางมีแต่นาข้าว พี่เราเป็นคนขี่ ส่วนเรานั่งซ้อนท้าย อีกไม่กี่อึดใจ แค่ผ่านโค้งนี้ไปก็จะถึงร้านขายบะหมี่เกี๊ยวแล้ว แต่เราทั้งคู่กลับไปไม่ถึงร้าน

เพราะจู่ๆ ก็มีรถปิคอัพขนสินค้าพุ่งมาชนมอเตอร์ไซค์ของเราและพี่เข้าอย่างจัง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เรานอนฟุบอยู่บนถนน โชคดีที่ยังมีสติ เราจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง ระหว่างนั้นก็รู้สึกชาที่เท้าข้างซ้าย เมื่อตั้งสติ และประมวลความคิดได้ก็พบว่า เท้าข้างซ้ายของเราเต็มไปด้วยบาดแผล เนื้อหลุดลุ่ยห้อยอยู่ที่เท้า เรามองเห็นเส้นเลือดที่เท้าอย่างชัดเจน เลือดไหลนองเต็มพื้นถนน เราร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

ขณะที่พี่ของเราที่ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก ก็ควานหาโทรศัพท์เพื่อโทรขอให้คนมาช่วย แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะโทรศัพท์ของพี่ค่าโทรหมด! เราและพี่นั่งกันที่ริมถนนด้วยแสงไฟที่สลัว รอให้ใครสักคนขับรถผ่าน และพอที่จะช่วยเราได้ ส่วนรถคันที่ก่อเหตุก็ขับหนีไปไม่เหลียวแล

เราและพี่อยู่ตรงที่เกิดเหตุนานเท่าไรไม่รู้ แต่ในที่สุดก็มีรถขับผ่าน เขาลงมาช่วยเหลือ และช่วยเรียกรถกู้ภัยให้ เมื่อไปถึงโรงพยาบาล (ขอไม่กล่าวถึงชื่อโรงพยาบาล) เราต้องเข้าห้องผ่าตัด ออกมาก็ประมาณตีสามแล้ว ฟื้นจากยาสลบก็เจอแม่รออยู่ แม่ร้องไห้ และถามเราว่าเจ็บตรงไหนไหม

สรุปว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น เราหัวแตก แขนขาถลอกปอกเปิก แต่ที่หนักสุดคงเป็นที่เท้าซ้าย เราจำไม่ได้ว่าแผลนี้เย็บไปกี่เข็ม ซึ่งตรงนี้เราโชคดีตรงที่เนื้อตรงเท้าไม่ได้หลุดไป คุณหมอเลยเย็บปิดแผลให้ได้ เราถูกใส่เฝือกที่ขา นิ้วกลางและนิ้วโป้งต้องดามเหล็กไว้ และคุณหมอแจ้งว่าต้องนอนที่โรงพยาบาล 2 เดือน ซึ่งเป็นการนอนโรงพยาบาลครั้งแรกของเราเลยก็ว่าได้

เราได้นอนที่ห้องรวม เตียงอยู่ริมทางเดิน มองไปจะเจอเคาเตอร์ของพยาบาล คืนแรกแม่เรานอนด้วย แต่ต้องนอนที่พื้นข้างๆ เตียง คืนแรกผ่านไปด้วยดี วันต่อมาแม่ก็มาหาที่โรงพยาบาลจะนอนเฝ้าเช่นเคย แต่เราบอกแม่ว่าไม่ต้องนอนเฝ้าแล้ว เพราะเราเห็นแม่นอนลำบากมาก ต้องมานอนที่พื้นข้างเตียงแคบๆ คืนที่ 2 เราเลยนอนคนเดียว

คืนนั้น เราหลับไปตอนประมาณ 4 ทุ่ม แล้วเราก็สะดุ้งตื่นกลางดึก หันไปมองที่เคาเตอร์พยาบาลเพื่อมองนาฬิกา ก็พบว่าเป็นเวลาตี 2 แล้ว ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีพยาบาลอยู่ที่เคาเตอร์ สายตาของเราหลุดออกจากการมองนาฬิกา เลื่อนมามองที่ปลายเตียง และเราก็ได้เห็นคนแก่กับเด็กยืนโอบไหล่กันอยู่ เขาทั้ง 2 มองเรานิ่งๆ แสงไฟสลัวๆ ตรงทางเดินพอจะทำให้เรามองเห็นเขาทั้งคู่ได้ชัด แต่วินาทีนั้นเราจำได้ว่าเราไม่ได้รู้สึกกลัว หรืออยากหวีดร้องออกมา ทุกอย่างมันดูนิ่งไปหมด เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ แล้วเราก็ผล็อยหลับไป

ตั้งแต่คืนนั้น มันก็เป็นแบบนี้ทุกคืน เราหลับ สะดุ้งตื่นตอนตี 2 หันไปมองนาฬิกาที่เคาเตอร์ สายตากลับมาอยู่ที่ปลายเตียง และก็เจอคนแก่กับเด็กมายืนโอบไหล่จ้องมองเรานิ่งๆ เหมือนเดิม มันเป็นแบบนี้ทุกคืนแต่ที่น่าแปลกคือทำไมเราถึงไม่มีความรู้สึกกลัว หรือความรู้สึกว่าเขาจะมาทำร้ายเลย

ในความรู้สึกของเรา ทุกอย่างมันเหมือนถูกเซ็ตไว้ด้วยฉากเดิมๆ ที่เราต้องเจอทุกคืน เราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล เราถึงได้เล่าให้แม่ฟัง แม่ตกใจ และบอกว่าทำไมเพิ่งมาเล่าตอนนี้ ถ้าเล่าให้แม่ฟังตั้งแต่วันแรกๆ จะได้ไปทำบุญให้เขา และเราอาจจะไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ในทุกๆ คืน

จนทุกวันนี้ เรายังจำแววตาของเขาทั้ง 2 ได้ดีอยู่เลย มันยังอยู่ในความทรงจำ สายตาที่เฉยเมย จ้องมองมาที่เราแบบนิ่งๆ มันยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึกทุกครั้งที่นึกถึง และทุกครั้งที่ได้ไปทำบุญเราก็นึกถึงเขาเสมอ และมันเป็นประสบการณ์นอนโรงพยาบาลครั้งแรก ที่เราจะไม่มีทางลืมไปได้เลย....

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook