จับทางให้ถูกก่อน “ตกงาน” ในยุคโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล

จับทางให้ถูกก่อน “ตกงาน” ในยุคโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล

จับทางให้ถูกก่อน “ตกงาน” ในยุคโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ว่าเทคโนโลยีนั้นเข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรามากขึ้นทุกที จะหยิบจับอะไรก็ต้องมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เช่นเดียวกันกับการทำงาน หากเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่มนุษย์โดยสมบูรณ์ ลักษณะงาน หรืออาชีพ หรือทักษะในการทำงานที่จะไปรอด ก็คืองานที่เกี่ยวกับ “เทคโนโลยี”

 

เพราะอย่างน้อยที่สุด นี่คือการลดต้นทุน การลงทุนกับอุปกรณ์ไฮเทคไม่กี่เครื่องแค่ครั้งแรกครั้งเดียวนั้นคุ้มค่ามากกว่า ถึงจะต้นสูงในตอนเริ่มต้น แต่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการทำงานที่คงที่ ไม่มีปากมีเสียงมาทำให้บรรยากาศในการทำงานสะดุด และไม่ต้องจ่ายเงินให้กับอุปกรณ์เหล่านี้ทุกเดือน ทำงานหลายปีก็ไม่ต้องขึ้นเงินเดือน แต่อาจมีค่าบำรุงรักษาบ้าง คงจะเห็นภาพแล้วว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแย่งงานเราทำในอนาคตอันใกล้

งานแห่งอนาคตมาไวขึ้น

จากข้อมูลรายงานจาก Future of Jobs Report 2020 ระบุว่า COVID-19 เป็นสิ่งที่เร่งรัดให้ “งานแห่งอนาคต” (Future of Work) มาเร็วขึ้น จากเดิมที่คาดการณ์ว่าภาคธุรกิจจะเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า แต่ ณ วินาทีนี้จะต้องเร่งปรับตัวและเลือกใช้เทคโนโลยีทันที ตัวอย่างจากมาตรการ Social Distancing คนไม่สามารถทำงานรวมกันในห้องห้องเดียวได้สะดวกนัก ซึ่งงานก็ต้องเดินต่อ จึงต้องหาวิธีมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน โดยหาอะไรสักอย่างมาทำงานแทน

นั่นหมายความว่าโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงจะไม่มีที่ยืนสำหรับคนที่มีความสามารถระดับกลาง ๆ อีกแล้ว ผู้ที่จะอยู่รอดจึงเป็นพวกที่มีทักษะสูง ๆ ดังนั้น การพัฒนาทักษะและดูเทรนด์ตลาดแรงงานจึงเป็นหัวใจในการทำงานทุกวันนี้ ลองคิดดูว่าถ้าองค์กรที่คุณทำงานกำลังก้าวไปข้างหน้า แต่คุณยืนอยู่กับที่ มันก็คือการถ่วงดี ๆ นั่นเอง แบบนั้นคุณจะกลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่องค์กรจะบีบออกในยามที่จำเป็น

เนื่องจากภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม สามารถใช้อุปกรณ์ทำงานแทนได้ แรงงานคนจำนวนมากจึงจะถูกแทนที่โดยเครื่องจักรและเทคโนโลยี เพราะต้นทุนที่น้อยกว่าในระยะยาว ส่วนที่เหลือจะเป็นแรงงานที่มีสกิลความสามารถพิเศษที่โดดเด่น

ไม่เพียงแต่ COVID-19 ที่ทำให้ตลาดแรงงานผันผวน จากปัจจัยอื่น ตลาดแรงงานก็ไม่ได้มั่นคงเท่าไรนัก เด็กจบใหม่หลายคนอาจกลายเป็นคนว่างงานไปยาว ๆ จากการที่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมไม่รับคนเพิ่ม อีกทั้งสายงานไหนที่ประเมินแล้วว่าไม่จำเป็น ก็จะถูกตัดทิ้งไป ขณะเดียวกัน มีเด็กจบใหม่ผลิตออกสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นทุกปี บัณฑิตที่จบมาสักพักแล้วหลาย ๆ คนก็ยังหางานทำไม่ได้ นี่ยังไม่นับรวมอัตราการว่างงานเดิม และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายองค์กรปรับลดขนาดลง การลดคนคือสิ่งที่พวกเขาทำ

แรงงานที่ล้นเหลือในลักษณะนี้ เป็นเพราะคนที่หางานอยู่มีทักษะความสามารถไม่ตรงกับความต้องการของตลาดที่มีการแข่งขันสูง คนหางานและคนทำงานจึงต้องอาศัยการปรับตัวในยุคดิจิทัลเขาช่วย อะไรที่พึ่งพาเทคโนโลยี หรือโลดแล่นอยู่ในแพลตฟอร์มดิจิทัล จึงมีแนวโน้มที่จะรอดได้มากกว่า ทำให้สายงานด้าน IT เป็นกลุ่มทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการมากตามไปด้วย

จำไว้ว่าถ้าคุณกลายเป็นแรงงานส่วนเกินในเวลานี้ โอกาสที่จะกลับเข้าสู่ระบบแรงงานก็ยากขึ้นในอนาคต ก่อนที่จะตกงานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ควรจะต้องรู้ก่อนว่าโลกต่อจากปี 2021 นี้ มีเทรนด์เทคโนโลยีอะไรบ้างที่ทำให้คนทำงานอยู่ไม่รอด

istock-1194783078

Cloud

Cloud ที่พูดถึงนี้ไม่ได้เป็นบริการพื้นที่รับฝากไฟล์บนอินเตอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ที่ Cloud ทำ เพราะความหมายที่แท้จริงของ Cloud เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขึ้นเพื่อรองรับการทำงานของผู้ใช้งานในทุกด้าน เช่น ระบบเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล การติดตั้งฐานข้อมูล หรือการใช้งานเฉพาะด้าน โดยที่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งระบบฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์อีกแล้ว เพราะผู้ใช้บริการสามารถใช้งานง่าย ๆ ด้วยการเชื่อมต่อกับ CloudComputing ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต

IoT

IoT (Internet of Things) เป็นการเชื่อมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าหากันผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามบนโลกใบนี้ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถควบคุม กำหนดความเป็นส่วนตัว และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ผ่านแอปพลิเคชันทางสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ หาก IoT สามารถพัฒนาศักยภาพได้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่ออฟฟิศก็อาจไม่จำเป็นต้องมีคนนั่งทำงาน เพราะเจ้านายคุณสามารถสั่งหุ่นยนต์ให้ทำนู่นนั่นนี่ได้ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ที่บ้านก็ตาม

Big Data

ในยุคที่โลกนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล คนคงจัดการไม่ไหว Big Data จึงมีผู้คนสนใจ และกลายเป็น Trend ที่กำลังมาแรง Big Data จะรองรับการจัดเก็บ การจัดการ กรองเลือกข้อมูล การวิเคราะห์ แสดงผล และการใช้งานข้อมูล ซึ่งช่วยให้คุณสามารถใช้ข้อมูลจากทุกแหล่งที่เป็นไปได้ แถมวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ ลดเวลาระยะเวลาดำเนินการ และตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น

AI

AI (Artificial Intelligence) ภาษาไทยใช้คำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” เป็นวิทยาการด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลกับชีวิตของมนุษย์มากขึ้นทุกที นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และโปรแกรมเมอร์ต่างพยายามที่จะพัฒนาให้ AI มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมครอบคลุมในทุกด้าน ด้วยหลักการที่ให้ AI ทำงานโดยอิงข้อมูลเดิมที่มีอยู่ คิดและประมวลผลบนหลักการและเหตุผลจนสามารถใช้งานได้จริง ปัจจุบัน AI ก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้หลายอย่างแล้ว ทำให้ความฉลาดของ AI น่ากลัวขึ้นทุกที น่ากลัวว่าจะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ในเร็ววัน

Robot

ก็คือหุ่นยนต์นั่นเอง จริง ๆ มนุษย์ใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์มานานแล้ว แต่สิ่งที่เห็นทุกวันนี้คือมันล้ำ! และมาไกลกว่าที่คิด แถมยังพัฒนาได้รวดเร็ว นั่นหมายความว่าถ้าคุณไม่อยากตกงานเพราะสิ่งไม่มีชีวิตที่เรียกว่าหุ่นยนต์ คุณก็ต้องเก่งกว่ามัน อย่างน้อยที่สุดคุณควรจะควบคุมมันได้ ติดตั้งมันเป็น หรือดูแลรักษาเวลามันพังมันเสีย อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นทำให้คุณน่าจะยังเป็นบุคลากรที่จำเป็นต่อองค์กร

istock-1245297617

e-Commerce

ยุคที่การช้อปปิ้งไม่ใช่การไปเดิน ๆ เลือก ๆ แต่เป็นการไถ ๆ เลือก ๆ จะไม่พูดถึง e-Commerce ก็คงไม่ได้ นี่คืการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอในการทำธุรกิจได้ การทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินการได้มาก

Blockchain

Blockchain คือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ มีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุม เก็บสถิติการทำธุรกรรมทางการเงิน และสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ โดยไม่มีตัวกลาง ยกตัวอย่างการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin จะมีรหัส Token สร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับ Blockchain และทำการตรวจสอบว่า Bitcoin นั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ก่อนที่จะทำธุรกรรม สามารถตัดตัวกลางอย่างสถาบันการเงินออกไปได้ ทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมถูกลง และอาจจะส่งผลให้ตัวกลางนี้ไม่จำเป็นต้องมีอีกก็ได้ หากเทคโนโลยีนี้เข้ามาแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์

Cyber Security

ถ้าคุณทำทุกอย่างผ่านทางออนไลน์ได้ คุณก็ถูกโจมตีทางออนไลน์ได้เหมือนกัน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการก่อการร้ายผ่านโลกออนไลน์ เช่น การเข้าถึง การนำไปใช้ การนำไปเปิดเผย โดยไม่ได้รับอนุญาต การขัดขวางการทำงานโดยปกติของระบบ การดัดแปลงข้อมูลหรือระบบ การทำลายข้อมูลหรือระบบ ในโลกที่ทุกสิ่งอย่างเชื่อมต่อโยงใยกันหมดในจุดเดียว ไม่ปลอดภัยแน่ ๆ ถ้าไม่มี Cyber Security

Programer

นี่คือ last boss ที่แท้จริง คนที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไปแล้วข้างต้นก็คือคนกลุ่มนี้ หน้าที่ของพวกเขาคือสร้าง พัฒนา ปรับปรุงเทคโนโลยีพวกนี้ขึ้นมาเพื่อทดแทนแรงงานคน ยิ่งพวกเขาฉลาดมากเท่าไร ทำอุปกรณ์ล้ำโลกออกมาได้มากเท่าไร โอกาสตกงานของคนก็ยิ่งมีสูงมากขึ้นเท่านั้น ส่วนพวกเขาจะยังคงอยู่รอดไปอีกนาน เพราะต้องพัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางที่สุด

ไม่ปรับ=ไม่รอด

อันที่จริง ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกที่จะทำให้คนตกงานได้ นั่นหมายความว่าตำแหน่งงานที่มีความซ้ำซ้อนก็มีความเสี่ยงสูงว่าจะหายไป (ซึ่งก็เริ่มเห็นเค้าลางบ้างแล้ว) เช่น พนักงานบันทึกข้อมูล พนักงานบัญชี ผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง พนักงานบริการลูกค้า เป็นต้น เพราะหากดูดี ๆ ตำแหน่งงานเหล่านี้เทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้นทำแทนได้หมด สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ไม่ใช่ภาวนาไม่ให้ตกงาน แต่คือยืดเวลาให้ตกงานช้าที่สุดต่างหาก

นี่จึงเป็นสิ่งที่คนวัยทำงานทุกคนต้องวางแผนและรีบปรับตัว ไม่ว่าคนที่ทำงานอยู่ บัณฑิตที่กำลังจะจบ หรือน้อง ๆ วัยมัธยมก็ต้องวางแผนเช่นเดียวกัน เรื่องของความฝันเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าก็จริง แต่โลกทุนนิยมขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรที่เรียกว่าเงิน ในเมื่อต้องกินต้องใช้ ก็ต้องทำงาน จะตกงานหรือไม่มีงานทำไม่ได้ ในโลกที่การแข่งขันสูงเช่นนี้

ดังนั้น โลกของการทำงาน คนที่หยุดอยู่กับที่ ไม่คิดแม้จะเดินตามโลกที่ไปไกลแบบก้าวกระโดด ในอนาคตอันใกล้ คุณอาจถูกบีบให้หลุดออกจากวงโคจร เข้าสู่ภาวะตกงาน การพัฒนาตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องเร่งทำ อย่าลืมว่าโลกนี้โหดร้ายกว่าที่คุณคิด และโลกไม่ได้ใจดีกับทุกคน ผู้ชนะคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าคุณอ่อนแอ คุณแพ้แน่นอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook