ยุคหลัง iPhone ของ Apple มาถึงแล้ว

ยุคหลัง iPhone ของ Apple มาถึงแล้ว

ยุคหลัง iPhone ของ Apple มาถึงแล้ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย โสภณ ศุภมั่งมี

ย้อนกลับไปในปี 2007 สตีฟ จ๊อบส์ เปิดตัว iPhone ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มันเป็นปรากฏการณ์ที่เขย่าวงการโทรศัพท์สมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง ใครจำได้บ้างว่าตอนนั้นหน้าตาของโทรศัพท์เป็นอย่างไร? 2 ใน 3 ของด้านหน้าเป็นปุ่มกด และอีกหน่งส่วนที่เหลือเป็นหน้าจอสีแตกๆ ที่เอาไว้สำหรับโชว์เบอร์และเล่นเกมส์งูกินหาง สิบกว่าปีมาจนถึงตอนนี้ลองมองดู ในสมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือแล้วเทียบกันไม่ติด iPhone เครื่องนั้นทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของบริษัท Apple ที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาลตลอดช่วงที่ผ่านมา

แต่ด้วยความสำเร็จนี้เองที่ทำให้บริษัท Apple นั้นพยายามทำเงินให้ได้มากที่สุดจากการขาย iPhone สู่ท้องตลาด จนกลายเป็นว่าพวกเขา (รวมถึงนักลงทุน) ใช้การวัดค่ายอดขายของ iPhone เป็นตัวแปรบ่งบอกความแข็งแกร่งของบริษัท ลืมการกระจายความเสี่ยงและลงทุนในด้านอื่นๆ ตามไปด้วย

เมื่อปลายปีก่อนฟ้าผ่ากลางหัวใจของ ทิม คุก ที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าและเกิดเป็นประเด็นต่างๆ ที่ตามมามากมาย ราคาหุ้นดิ่งร่วง ความเชื่อใจหดหาย นักลงทุนและคนทั่วไปต่างมองว่านี่เป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ของ Apple พวกเขาพึ่งพา iPhone มากจนเกินไป ทิม คุก และพรรคพวกเองก็รู้ดีถึงความเปราะบางในจุดนี้ จึงเริ่มมีการขยับขยายและหันความสนใจไปสู่บริการด้านต่างๆ ที่ Apple สามารถมอบให้กับผู้ใช้งานได้ เพื่อแบ่งเบาภาระการแบกบริษัท Apple จาก iPhone ไปไว้ที่อื่นบ้าง

จากข้อมูลผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของ Apple จะเห็นว่าไตรมาสนี้มีกำไรสูงขึ้น 1 เปอร์เซนต์ เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2018 ถือว่าเป็นไตรมาสแรกจากสามไตรมาสหลังที่รายได้เพิ่มขึ้น แม้จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม ที่สำคัญก็คือว่าจากรายได้ 53,800 ล้านเหรียญฯ ยอดขายของ iPhone นับเป็นรายได้เพียง 26,000 ล้านเหรียญฯ ซึ่งน้อยกว่า 50 เปอร์เซนต์ ของรายได้ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย แต่พอย้อนกลับไปดูตัวเลขเมื่อปีก่อนจะพบว่าตัวเลขลดลงมากกว่า 11.8 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหมายความว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นมา (อย่างที่บอกแม้จะเล็กน้อย) แต่ก็ถือว่ามาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ยอดขายของ iPhone แล้ว จากที่เคยเกิน 50 เปอร์เซนต์มาตลอดตั้งแต่ปี 2013 

แม้ยอดขายของ iPhone จะลดลง แต่โปรดักส์อื่นๆ อย่าง iPad, MacBook และอุปกรณ์เสริมต่างๆ กลับมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นกว่า 20 เปอร์เซนต์ เป็นรายได้มากถึง 16,300 ล้านเหรียญฯ แปลเป็นกำไรต่อไตรมาสทั้งหมดประมาณ 10,000 ล้านเหรียญฯ ถึงแม้ว่ากำไรจะลดลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับปีก่อนถึง 13 เปอร์เซนต์ แต่ก็มากกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้ พูดได้อีกอย่างว่าตอนนี้การขยับโยกย้ายเพื่อเพิ่มศักยภาพในส่วนอื่นๆ ของบริษัท โดยเฉพาะด้านบริการที่กำลังเริ่มทำงาน จากรายงานที่ว่ารายได้จากบริการด้านต่างๆ ของ Apple (Apple Pay, App Store, Apple Music, iCloud ฯลฯ) สร้างรายได้ประมาณ 11,500 ล้านเหรียญฯ โตขึ้นกว่าไตรมาสเดียวกัน 12.6 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน เมล็ดที่หว่านไปกำลังออกดอกผลมาให้เชยชมกันแล้ว

untitled-7

และอย่างที่ทุกคนรู้ว่า Apple กำลังรุกหนักขึ้นกว่าเดิม ภายในปีนี้เราจะเริ่มเห็น Apple TV+ ที่มีคอนเทนต์ของตัวเองคล้ายกับ Net-flix และ Amazon โดยมีการวางแผนผลิตทั้งทีวีโชว์และซีรี่ส์ต่างๆ ซึ่งพวกเขาหวังว่ามันจะมาเป็นตัวเสริมรายได้ในระยะยาว แม้จะต้องแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกันกับ Netflix, Amazon, Disney+ และ HBO Max ก็ตาม (สองอันหลังก็กำลังจะเปิดตัวเช่นเดียวกัน)แม้ว่าตอนนี้ยอดขายสมาร์ตโฟนของ Apple กำลังค่อยๆ ลดลง แต่โปรดักส์ที่เป็นอุปกรณ์เสริมต่างๆ กลับสวนทาง ทั้งหูฟัง AirPod, Beats, Apple Watch และ HomePod โดยมียอดขายรวมกันเพิ่มขึ้นถึง 48 เปอร์เซนต์ หรือราวๆ 5,500 ล้านเหรียญฯฯ

ทั้ง AirPods 2 และ Apple Watch 4 ต่างได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการแข่งขันกันจนอิ่มตัวเหมือนกับสมาร์ตโฟน ยังพอมีช่องว่างให้ลูกค้าใหม่ๆเข้ามาทดลองใช้สินค้าของพวกเขา เพราะฉะนั้น iPhone จะไม่ใช่สินค้าตัวแรกที่ดึงลูกค้าใหม่ให้เข้ามาสู่ระบบนิเวศน์ของ Apple อีกต่อไป สินค้าตัวอื่นๆ จะเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น คนอาจจะซื้อ AirPods เพื่อใช้งานแล้วถูกใจ กลับมาลองใช้ iPhone ต่อมาอาจจะสอย Apple Watch ต่อเพราะมันทำงานด้วยกันได้เป็นอย่างดี

ข่าวดีสำหรับ Apple ก็คือว่าตอนนี้พวกเขาสามารถที่จะโน้มน้าวนักลงทุนได้แล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ดำเนินไปตามแผนการที่วางเอาไว้ การกระจายความเสี่ยงและการลงทุนในบริการเริ่มกลับมาให้ผลตอบแทนบ้างแล้ว และภายในปี 2020 พวกเขาจะทำรายได้จากส่วนของบริการทั้งหมดมากกว่าเดิมสองเท่าจากปี 2016 เพราะนอกจาก Apple TV+ แล้วยังมี Apple News+ บริการข่าวแบบสมาชิก และ Apple Arcade ที่พุ่งเป้าหมายไปยังคอเกมทั้งหลายด้วย

untitled-8

ท่ามกลางข่าวดีต่างๆ นานา แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ Apple ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือเรื่องของ App Store ที่เป็นช่องทางรายได้มากกว่า 1 ใน 3 ในส่วนบริการของบริษัท เพราะนี่เป็นจุดเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน 900 ล้านคนทั่วโลก ด้วยความที่เอาแอปพลิเคชั่นมาอยู่บน App Store ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง (หลายคนเรียกมันว่า Apple Tax ข้อมูลที่ได้มาคือ 30 เปอร์เซนต์) และบางบริษัทที่ให้บริการคล้ายกับของ Apple อย่างเช่น Spotify ก็มีการร้องเรียนว่าแอปพลิเคชั่นของพวกเขานั้นโฆษณาถึงลูกค้าได้ยากใน App Store (แน่นอนว่า Apple ออกมาปฏิเสธ) ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าการร้องเรียนครั้งนี้จะทำให้เกิดผลเสียอะไรตามมา แต่นี่คือสิ่งที่ Apple ต้องระวังเพราะหากเกิดการรวมกลุ่มกันของ Developers ที่มากพอเพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายหรือปัญหาที่ต้องพบเจอบน App Store อาจจะกลายเป็นเรื่องปวดหัวให้พวกเขาต้องเสียเวลามาแก้ไขอีกด้วย

เทรนด์ในปัจจุบันที่น่าจะดำเนินต่อไปอย่างน้อยๆ ถึงปี 2020 คือสมาร์ตโฟนจากฝั่งเอเชียทั้ง Samsung, Huawei, Oppo และ Xiaomi กำลังแย่งส่วนแบ่งครองตลาดโดยลดราคาอัดฟีเจอร์กันแทบทุกเดือน ดังนั้น iPhone รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในเดือนหน้าก็น่าจะเป็นการอัปเกรดแบบเดิมๆ ไม่ได้หวือหวา (แต่หวังลึกๆ ว่าพวกเขาจะมีเซอร์ไพรส์มาให้ตกใจ) ถ้าปีหน้า Apple เปิดตัว 5G สมาร์ตโฟนเมื่อไหร่ ตอนนั้นเราน่าจะเห็นลูกค้าหน้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นจะส่งผลให้มีการใช้งานที่หลากหลายขึ้นด้วย อีกทั้งลูกค้าเดิมๆ ก็อาจจะตัดสินใจเปลี่ยนรุ่นใหม่สักที

ในระหว่างนี้ท่านผู้อ่านคงต้องจับตาดูต่อไปว่าการบริการของ Apple จะสามารถเข้ามาแบกรับยอดขายที่ลดลงของ iPhone ได้นานขนาดไหน โจทย์ที่กำลังท้าทายหลังสิ้นสุดยุค iPhone ครองโลก เราจะได้เห็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกเหมือนครั้งที่ iPhone เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของโทรศัพท์มือถือได้หรือเปล่า? หรือ Apple จะกลายเป็นแค่บริษัทหนึ่งที่มีบริการหลากหลายและคอยอัพเดตอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ทุกปี (แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้?)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook