เปิดโปงเบื้องหลัง CD Projekt สาเหตุความไร้คุณภาพของ Cyberpunk 2077

เปิดโปงเบื้องหลัง CD Projekt สาเหตุความไร้คุณภาพของ Cyberpunk 2077

เปิดโปงเบื้องหลัง CD Projekt สาเหตุความไร้คุณภาพของ Cyberpunk 2077
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Cyberpunk 2077 ยังคงมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่การที่เกมจะมีปัญหาและเกิดกระแสด้านลบเป็นจำนวนมากหลังจากวางจำหน่ายออกมา แต่ภายในทีมงานผู้พัฒนาเองก็ยังมีข่าวไม่ดีจนทำให้เสียภาพลักษณ์ที่สั่งสมมานานอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น Marcin Iwiński ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารของ CD Projekt ได้ออกมาแถลงการณ์รับมือแก้ไขปัญหาความบกพร่องในเกมตลอดทั้งปี และได้ยอมรับว่า "เกมไม่ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน"

นี่เป็นการออกมารับหน้าขอโทษของ Iwiński ถึง 2 ครั้งภายใน 1 เดือน สำหรับการเป็นผู้บริหารของบริษัทเกม เพราะแฟนเกมและนักลงทุนจำนวนมากได้ใช้เวลารอถึง 8 ปี เพื่อพบว่าสุดท้ายแล้วเกมที่ลงทุนรอคอยนั้นเต็มไปด้วยปัญหาบกพร่อง และมากด้วยปัญหาด้านประสิทธิภาพ นั่นจึงทำให้เกิดความโกลาหลจนถึงกับทำให้หุ้นของ CD Projekt ตกลงไปกว่า 30% นับตั้งแต่ที่ได้เกมวางจำหน่ายวันที่ 10 ธันวาคม จนถึงกลางเดือนมกราคมนี้ และตามมาด้วยปัญหาภายในที่ไม่จบสิ้น เมื่อมีพนักงานของ CD Projekt ได้ออกมาให้ข้อมูลเบื้องหลังการทำงานอันย่ำแย่เพิ่มเติมอีก

พนักงานทั้งในอดีตและปัจจุบันของ CD Projekt กว่า 20 คน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์โดยไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่ออาชีพการทำงาน โดยเล่าว่าบริษัทนั้นมีการวางแผนการทำงานที่ล้มเหลว และเสียเงินไปกับการตลาดในการโฆษณาเป็นจำนวนมาก ด้วยการวางแผนการทำงานที่บกพร่องนั้นทำให้พนักงานต้องทำงานล่วงเวลาเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะถึงการพัฒนาขั้นสุดท้ายก่อนวางจำหน่าย ซึ่ง CD Projekt ที่เคยออกมาบอกว่าบริษัทไม่มีการให้พนักงานทำงานล่วงเวลา ก็ได้ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

"Cyberpunk 2077 จะมีการอัพเดทครั้งแรกออกมาในปลายเดือนมกราคม และมีการอัพเดทครั้งที่สองในสัปดาห์ต่อมาหลังจากนั้น" นั่นคือสิ่งที่ Iwiński ออกมาชี้แจงเพื่อหวังฟื้นฟูความเชื่อใจจากผู้เล่นอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พนักงานทุกคนคิดเอาไว้ในปี 2021 ซึ่งแทนที่พวกเขาจะได้ฉลองกับการเปิดตัวความสำเร็จของเกม พวกเขากลับต้องมาทำงานอย่างยากลำบากในการชดเชยความผิดพลาดของ Cyberpunk 2077 กันอย่างหนักอีกครั้ง ซึ่งมันแตกต่างกับบริษัทคู่แข่งอย่าง Electronic Arts Inc. และ Ubisoft Entertainment ที่ใช้เวลาในการวางแผนพัฒนาเกมหลักทุกๆ 2-3 ปี

The Witcher 3 และ Cyberpunk 2077 ล้วนเป็นเกมที่ได้รับประโยชน์จากการโฆษณาที่เกิดขึ้นแบบสายฟ้าแลบ และมันยังมีการโฆษณาครั้งใหญ่ก่อนวางจำหน่าย ด้วยการมารับบทบาทในเกมของนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลูีวูดชื่อดังอย่าง Keanu Reeves ซึ่งได้ออกมาโปรโมตเกมในงาน E3 ที่ Los Angeles เมื่อปี 2019 บนเวทีแสดงเกมของ Xbox

ก่อนเกมวางจำหน่ายออกมานั้น ในช่วงแรกมันมีบทวิจารณ์ไปในทางที่ดี แต่เมื่อผู้เล่นได้สัมผัสเกมด้วยตัวเอง ก็พบว่าตัวเกมมีปัญหาทั้งบน PC และแทบจะไม่สามารถเล่นได้เลยบนเครื่องคอนโซลทั้ง PlayStation 4 และ Xbox One ซึ่งการประมวลผลของเกมนั้นย่ำแย่มากจนถึงกับทำให้ Sony ต้องถอดเกมออกจากการขายบนระบบ PlayStation Store และเสนอทางเลือกการคืนเงินให้ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนทางด้าน Microsoft ก็ได้ติดคำเตือนเอาไว้ว่า "ผู้เล่นอาจประสบปัญหาด้านประสิทธิภาพบน Xbox One จนกว่าเกมจะได้รับการอัพเดท" และ CD Projekt ยังต้องเผชิญปัญหากับคดีการฟ้องร้องของนักลงทุนตามมาอีกด้วย

Iwiński ได้ยอมรับว่า "บริษัทประเมินงานต่ำเกินไป" โดยกล่าวว่าเมือง Night City อันกว้างใหญ่ของเกมนั้นมี Bandwidth เป็นจำนวนมาก ทำให้การทำงานบนเครื่องคอนโซลรุ่นเก่านั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายตลอดเวลา และยังบอกว่าในการทดสอบก่อนวางจำหน่ายของเกมภายในบริษัทนั้น มันแทบจะไม่พบปัญหาระหว่างการเล่นอย่างที่ผู้เล่นหลายคนพบเจอ ซึ่งคำกล่าวนั้นดูจะสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีผู้พัฒนาเกมบางคนออกมาโต้แย้งว่าความจริงแล้วมันมีการค้นพบปัญหาอยู่มากมาย แต่ทีมงานนั้นไม่มีเวลาแก้ไขและบริษัทได้ตั้งใจฝืนวางจำหน่ายเกมออกมา

The Witcher เป็นเกมที่ประสบความสำเร็จของ CD Projekt ด้วยโลกแฟนตาซียุคกลางที่เต็มไปด้วยดาบและเวทมนตร์ แต่ Cyberpunk 2077 ได้ออกจากกรอบด้วยการเป็นไซไฟมากกว่าความแฟนตาซี และมีการออกแบบรายละเอียดที่ยอดเยี่ยมมากมาย จึงทำให้ต้องมีการรับสมัครพนักงานใหม่เป็นจำนวนมาก และลงทุนใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการพัฒนาเกม แต่ความทะเยอทะยานที่ยิ่งมีเยอะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ตามมาด้วยการพัฒนาที่ล่าช้าลง ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้เปรียบเทียบกระบวนการทำงานในบริษัท ว่ามันเหมือนกับการที่พยายามขับรถไฟในขณะที่รางรถไฟกำลังสร้างอยู่ข้างหน้าไปพร้อมกัน

แม้แต่ Adrian Jakubiak อดีตโปรแกรมเมอร์ด้านเสียงของ CD Projekt ยังได้เล่าถึงเรื่องที่เพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่ง ได้สอบถามในที่ประชุมว่าบริษัทจะสามารถทำให้ความท้าทายนี้ออกมาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ในระยะเวลาเดียวกับ The Witcher แต่ก็ได้มีการตอบกลับมาว่า "เราจะหาทางแก้ไขในระหว่างทาง" ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ CD Projekt ใช้ในการเติบโตขึ้นมาหลายปี และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ของบริษัท ทำให้ Adrian Jakubiak ได้ลาออกมาพร้อมกล่าวว่า "ผมรู้ว่ามันจะไปได้ไม่รอด และผมไม่รู้ว่ามันจะหายนะขนาดไหน"

ความผิดหวังของแฟนเกมได้เปลี่ยนไปตามระยะเวลาของการรอคอย ซึ่งในขณะที่ Cyberpunk 2077 ได้เปิดตัวออกมาในปี 2012 แต่ก็ได้มีพนักงานกล่าวว่ามันได้มีการรีเซ็ตใหม่ภายในปี 2016 นั่นจึงทำให้ทีมงานต้องทำงานด้วยความลำบากในเวลาจำกัดมากขึ้น เพราะหัวหน้าสตูดิโออย่าง Adam Badowski ต้องการยกระดับการเล่นและเรื่องราวของเกมใหม่แทบทั้งหมด การตัดสินใจนั้นทำให้เกิดการโต้เถียงกับ Badowski  ของผู้พัฒนาระดับสูงที่เคยร่วมงานใน The Witcher 3 และนำมาซึ่งการลาออกของนักพัฒนาเกมคุณภาพหลายคนในที่สุด

CD Projekt ให้ความสำคัญกับการสร้างความประทับใจต่อผู้คนในโลกภายนอก เกมเพลย์ส่วนหนึ่งอันน่าทึ่งได้ถูกแสดงในงานอุตสาหกรรมเกมขนาดใหญ่ประจำปี E3 2018 แต่ทั้งนักเล่นเกมและสื่อข่าวทุกคนต่างไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวอย่างแทบทั้งหมดนั้นคือของปลอม เพราะ CD Projekt ยังไม่ได้สรุปและเขียนโค้ดระบบการเล่นพื้นฐานของเกมเลย และทำให้องค์ประกอบหลายอย่างนั้นได้หายไปในตัวเกมเวอร์ชั่นสุดท้ายที่วางจำหน่ายออกมา อีกทั้งนักพัฒนาหลายคนยังกล่าวว่าแทนที่พวกเขาจะได้เอาเวลาไปสร้างเกมอย่างที่ควร กลับต้องมาเสียเวลากับการทำตัวอย่างหลอกคนดูอยู่หลายเดือนอีกด้วย

Iwiński ได้บอกว่าจะไม่มีการบังคับให้ทำงานล่วงเวลาสำหรับ Cyberpunk 2077 แต่พนักงานก็จำเป็นต้องทำงานนอกเวลาเพื่อให้งานเสร็จทันเวลา และพนักงานจำนวนมากหลายคนก็ได้บอกว่าพวกเขารู้สึกกดดันจากผู้จัดการและเพื่อนร่วมงาน จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องทำงานนอกเวลาตามสังคมของบริษัทไปด้วย พนักงานที่ได้ลาออกมาบางคนได้บอกว่าพวกเขาต้องทำงาน 13 ชั่วโมงต่อวันทุกสัปดาห์ และ Jakubiak ยังกล่าวว่าเสริมว่าเขาได้ลาออกมาหลังจากแต่งงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีเพื่อนบางคนสูญเสียครอบครัวไป เพราะต้องให้เวลากับการทำงานนอกเวลามากเกินไป

The Witcher 3 ได้ใช้นักพัฒนาเกมจำนวน 240 แต่ Cyberpunk 2077 ได้มีการรับสมัครนักพัฒนาเกมเพิ่มมากถึง 500 คน อย่างไรก็ตาม การทำงานล่วงเวลาของพนักงานทุกคนนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เกมพัฒนาเสร็จเร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะในขณะที่แฟนเกมวางใจว่า Cyberpunk 2077 จะวางจำหน่ายในวันที่ 16 เมษายน 2020 อย่างที่ประกาศเอาไว้ พนักงานหลายคนก็ได้แต่เกาหัวสงสัยว่าพวกเขาจะทำเกมให้เสร็จทันได้อย่างไร และพวกเขาหลายคนคิดว่าเกมควรจะวางจำหน่ายออกมาได้อย่างน้อยภายในปี 2022 ด้วยซ้ำ อีกทั้งการมีพนักงานจำนวนมากนั้นยังตามมาด้วยการประสานงานกันที่ไม่ดี และไม่มีความคุ้นเคยกันจนทำให้รู้สึกไม่ดีในการทำงานอีกด้วย

เกมโลกกว้างที่เต็มไปด้วยคุณภาพอย่าง Grand Theft Auto V และ Red Dead Redemption II เป็นเกมที่มักจะถูก CD Projekt ยกขึ้นมาเปรียบเทียบเป็นมาตรฐานที่ต้องการ พวกเขาต้องการตึกจำนวนมากและผู้คนในเมืองหลายพันคน แต่ฝ่ายบริหารของบริษัทก็ต้องการให้เกมวางจำหน่ายก่อนที่เครื่องเกมคอนโซลตัวใหม่อย่าง PlayStation 5 และ Xbox Series จะเปิดตัวออกมาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้วางจำหน่ายเกมใหม่ได้ "อีกครั้ง" และอ้างว่าให้ผู้เล่นเกมคอนโซลรุ่นเก่าสามารถอัพเกรดเกมเป็นเวอร์ชั่นใหม่ได้ฟรี แต่นักพัฒนาหลายคนก็ตระหนักว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ความซับซ้อนของเกมจะทำงานในเครื่องคอนโซลรุ่นเก่าที่มีอายุถึง 7 ปีแล้ว แต่เหล่าผู้บริการก็ไม่แยแสถึงความกังวลเหล่านั้น และอ้างถึงความสำเร็จที่เคยทำมาใน The Witcher 3

ในที่สุด Cyberpunk 2077 ก็จำเป็นต้องเลื่อนการวางจำหน่ายออกไปอีกหลายครั้ง อีกทั้งการมาของสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสสายพันธ์ใหม่ Covid-19 ยังทำให้พนักงานต้องเข้าถึงการทำงานด้วยข้อจำกัด และใช้คอมพิวเตอร์ทำงานจากที่บ้านตลอดแทบทั้งปี ทำให้พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าการแสดงผลของเกมบนเครื่องคอนโซลนั้นจะเป็นอย่างไร จนกระทั่งมันแสดงออกมาให้เห็นแล้วในตอนนี้ หลังจากที่เกมเลื่อนวางจำหน่ายมาตลอดปีถึง 3 ครั้งด้วยกัน ทั้งที่ได้มีการประกาศว่าตัวเกมได้เข้าสู่ขั้นตอนการผลิต และจะไม่มีการเลื่อนวางจำหน่ายอีกแล้ว

สุดท้ายแล้ว กระแสตอบรับของ Cyberpunk 2077 ก็ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากการที่ผู้เล่นทั่วโลกได้ร่วมกันแชร์สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอหลังจากจ่ายเงินซื้อเกมไป แต่ CD Projekt ยังคงสัญญาว่าปัญหาด้าน Graphic และข้อบกพร่องทั้งหลายนั้นยังอยู่ในระดับที่สามารถแก้ไขได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าพวกเขาจะนำเกมกลับมาวางจำหน่ายบน PlayStation Store อีกครั้งได้หรือไม่ และจะสามารถคืนชีพเกมให้กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งเหมือนอย่าง No Man’s Sky หรือ Final Fantasy XIV ได้หรือเปล่า แต่นี่ดูเหมือนจะเป็นความหวังสุดท้ายของ CD Projekt ที่จะมีชีวิตอยู่รอดในวงการเกม จากผลงานวีรกรรมที่ได้ทำเอาไว้แล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook