“ผู้หญิงขับรถได้ดีกว่าผู้ชาย” ผลจากสถิติที่ย้อนแย้งทุกความเชื่อ

“ผู้หญิงขับรถได้ดีกว่าผู้ชาย” ผลจากสถิติที่ย้อนแย้งทุกความเชื่อ

“ผู้หญิงขับรถได้ดีกว่าผู้ชาย” ผลจากสถิติที่ย้อนแย้งทุกความเชื่อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ใช่แค่ประเทศไทยนะ แต่มันเป็นความเชื่อไปแล้วทั้งโลก ที่ฝ่ายชายจะมองฝ่ายหญิงว่าเป็น เพศที่ “ขับรถไม่ได้เรื่อง” อืดอาด ตัดสินใจช้า ยึกๆ ยักๆ แถมในยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู เราก็ได้เห็นคลิปที่ผู้หญิงขับเข้าหรือออกจากที่ขับรถแล้วถอยเข้า ถอยออก เป็นสิบๆ รอบก็ยังไม่สำเร็จ ได้ดูแล้วก็ฮากันไป ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อในวงกว้างว่าเพศหญิงจะด้อยในทักษะการขับรถกว่าเพศชายมาตลอด แต่วันนี้ได้มีบทพิสูจน์อย่างเป็นทางการ ทั้งอ้างอิงจากสถิติในเรื่องอุบัติเหตุ และการกระทำผิดกฏหมาย แล้วยังมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสมทบอีกว่า แท้จริงแล้ว “เพศหญิงต่างหากที่เป็นฝ่ายขับรถได้ดีกว่ามนุษย์เพศชาย”

ผู้ชายที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะทำหน้าเบ้ ไม่เชื่อ เป็นไปได้อย่างไร ผลพิสูจน์อะไรกัน ทำไมย้อนแย้งความเชื่อเช่นนี้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ขับรถแย่ขนาดไหน งกๆ เงิ่นๆ ชักช้า เรามาว่ากันไปทีละข้อ ถึงข้อพิสูจน์อันสุดย้อนแย้งนี้

เรามาลงลึกกันเรื่องกายภาพก่อน ว่ากันเรื่อง “สมอง” เลย เพราะเป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าคิด ตัดสินใจ ในทุกๆ การกระทำของร่างกาย รวมไปถึงกายภาพของชายและหญิงก็เห็นชัดแล้วว่ามีความแตกต่างกัน ร่างกายชายและหญิงผ่านวิวัฒนาการมาหลายศตวรรษ ถูกพัฒนาให้แตกต่างกันไปตามรูปแบบการดำเนินชีวิต ให้สอดคล้องตามจุดประสงค์ในการดำเนินชีวิต แต่ละเพศต่างก็มีภาระรับผิดชอบที่แตกต่างกันไป ซึ่งนั่นก็รวมถึงรูปแบบการทำงานของสมองที่ส่งผลต่อเนื่องไปถึง “การขับรถ” ด้วย

หน้าที่ในส่วนต่างๆ ของสมองหน้าที่ในส่วนต่างๆ ของสมอง

ในภาพประกอบ สมองของคนเราแบ่งเป็น 4 ส่วน ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เพศชายจะมีสมองส่วน Parietal Lobe มากกว่า สมองส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการคำนวณพื้นที่ ขนาดและระยะห่าง ผู้เชี่ยวชาญเรียกความสามารถในส่วนนี้ว่า “Spatial Ability” สอดคล้องกับสัญชาตญาณพื้นฐานของเพศชาย ที่เป็นนักล่า ชอบความเร็ว ชอบเดินทางไกล ซึ่งเป็นความสามารถที่จำเป็นในการขับรถ ผู้ชายขับรถจะคำนวณขนาดและระยะห่างจากรถรอบข้างได้ดี สามารถอ่านแผนที่แล้วเข้าใจได้เร็วกว่า แม้จะวางแผนที่เอียงซ้ายเอียงขวาหรือกลับหัวก็ตาม เวลาจอดรถก็จะรวดเร็วกว่า เวลาอยู่บนท้องถนนก็จะตัดสินใจได้รวดเร็วกว่า แต่โดยรวมทั้งหมดทั้งหลายที่กล่าวมา กายภาพทางสมองของเพศชายดูจะเหมาะสมกับการขับรถ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็น “ผู้ขับรถที่ดี” เพราะท้ายที่สุดแล้ว การขับรถที่ดีคือการขับรถที่ปลอดภัย ไม่ใช่การขับรถเร็ว

www.ratedradardetector.org/www.ratedradardetector.org/

ถึงตรงนี้ต้องพาให้ย้อนไปดูภายภาพทางสมองอีกที ฝ่ายชายเป็นเพศที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้ล่า หาอาหาร แต่เพศหญิงคือฝ่ายที่เหมาะสมกับการดูแลบ้านช่องให้ปลอดภัย ระแวดระวังต่อผู้บุกรุก และนั่นล่ะที่ทำให้ผู้หญิงมีประสาทสัมผัสที่ดีในการระมัดระวัง พวกเธอจะรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลบนท้องถนนได้อย่างรวดเร็ว รู้สึกไหวตัวได้เร็วถ้ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในพื้นที่รอบข้าง และไวต่อเสียงแปลกๆ ที่อาจเป็นอันตราย ยกตัวอย่างกรณีถ้ารถคันหน้าขับงี่เง่ากินทางเป๋ไปเป๋มา ถ้าไปใกล้ดูน่าจะเป็นอันตราย ผู้หญิงเลือกจะแตะเบรกแล้วให้ไอ้งี่เง่านั่นไปพ้นๆ เสียก่อน แต่ผู้ชายจะกระทืบคันเร่งแล้วแซงมันให้ไปพ้นๆ (เป็นผมก็ทำแบบนี้นะ)

การทำงานของสมองชายและหญิงการทำงานของสมองชายและหญิง

ในเรื่องการตัดสินใจอะไรแบบนี้ มีผลมาจากการทำงานของสมองของชายและหญิงที่แตกต่างกันมาก สมองคนเราแบ่งเป็น 2 ซีก สมองของเพศชายจะทำงานแบบฝั่งใครฝั่งมัน คิดแค่ไปหน้ากับถอยหลังเท่านั้น แต่สมองเพศหญิงจะทำงานเชื่อมโยงกันไปมาระหว่างสมอง 2 ฝั่ง รูปแบบการทำงานจะเป็นเส้นซิกแซกข้ามไปมา นั่นส่งผลถึงการกระทำการตัดสินใจในทุกๆ เรื่องในชีวิต ผู้หญิงจะใคร่ครวญพิจารณาก่อนลงมือทำ

เหตุผลสนับสนุนว่าเพศหญิงขับรถดีกว่ายังไม่หมด เพศหญิงยังเป็นฝ่ายที่เคารพกฏหมายมากกว่าอีกด้วย ถ้าต้องเดินทางจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายเดียวกัน ผู้ชายขับจะไปถึงจุดหมายเร็วกว่า แต่ผู้หญิงขับจะไปถึงจุดหมายปลอดภัยกว่า ทางตำรวจเองก็ออกมายืนยันว่า ในการจับผู้กระทำผิดกฏจราจรไม่ว่าจะด้วยขับรถในขณะมึนเมา ขับเร็วเกินกว่ากำหนด หรือฝ่าฝืนกฏระเบียบต่างๆ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเพศชาย ไม่เพียงแค่เป็นข้อสันนิษฐานลอยๆ สถิติทางการจราจรก็ยืนยันในข้อนี้อีกด้วย

  • ในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนผู้ขับขี่ชายหญิงในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน แต่บันทึกการทำผิดกฎจราจรแล้ว เพศชายกระทำผิดมากกว่าเพศหญิงถึง 4 เท่า
  •  เฉพาะในนิวยอร์ก เฉพาะผู้กระทำผิดในเรื่องขับรถเร็ว ขับรถขณะมึนเมา ขับรถประมาท ตำรวจยืนยันว่า 80% ของผู้กระทำความผิดเป็นเพศชาย
  •  อ้างอิงจากสถิติอุบัติเหตุบนถนนในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2009 คนขับรถเพศชายตายมากถึง 11,900 ราย ส่วนเพศหญิงมีเพียง 4,900 ราย
  •  สถิติจาก สถาบันประกันภัยความปลอดภัยบนทางหลวงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐอเมริกา อ้างว่า ต่อการเดินทางทุก 100 ล้านไมล์ จะมีคนขับรถเพศชายเสียชีวิตเฉลี่ย 2.5 ราย คน ขับรถเพศหญิงเสียชีวิต 1.7 ราย
  •  ลงลึกไปในสถิติเดิมแยกย่อยมาเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16-19 ปี จะเป็นเพศชายเสียชีวิตมากถึง 9.2 ราย เพศหญิงที่ 5.3 ราย ต่อการเดินทางทุกๆ 100 ล้านไมล์เช่นกัน

สถิติเหล่านี้ต่างก็สอดคล้องกับข้อมูลในแวดวงบริษัทประกันภัย ที่เห็นพ้องว่าเพศหญิงเป็นฝ่ายที่ขับรถปลอดภัยกว่า ทำให้บริษัทประกันภัยในหลายๆ รัฐในอเมริกา จะคิดค่าเบี้ยประกันสำหรับเพศหญิงถูกกว่าเพศชายอยู่มาก

สรุปได้ว่า การขับรถที่ดีคือการขับรถที่ปลอดภัย ทั้งตัวคนขับและผู้โดยสาร ถ้าผู้อ่านที่เป็นผู้ชาย ต่อไป... ก่อนที่จะตำหนิพี่น้อง แฟน เพื่อน ที่เป็นผู้หญิงขับรถ ก็ให้เข้าใจว่าสมองของเขาถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น ถึงแม้เขาจะเงอะงะ หมุนพวงมาลัยไปผิดทิศผิดทาง แต่ให้มองในแง่ดีนะ ว่าอย่างน้อยเรานั่งอยู่ในรถเขา เราก็ปลอดภัยแล้วกันน่า

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ “ผู้หญิงขับรถได้ดีกว่าผู้ชาย” ผลจากสถิติที่ย้อนแย้งทุกความเชื่อ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook